ในโลกของธรรมจะไม่มีอะไรที่มีอยู่ยั่งยืน


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๑๙๘


    ผู้ฟัง เท่าที่ฟังเรื่องการศึกษาธรรม การศึกษาปรมัตถธรรม เกี่ยวกับอนัตตา ใช่ไหมครับ ที่สอนเรื่องอนัตตา เราแยกอย่างไรกับสมมติบัญญัติ บางทีบอกว่า อนัตตา แต่นี่ตัวเรา นี่ตัวเขา นอกจากปัญญาแล้ว ใช้อะไร เพราะเห็น ฟังแล้ว มันสับสน ไปคู่ด้วยกัน ในขณะเดียวกันมันไม่ใช่ตัวเรา มันไม่ใช่ แต่ขณะเดียวกัน เราต้องนึกว่ามันอย่างนั้น จิตอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ ใช่ไหมครับ

    ท่านอาจารย์ คืออย่างที่เราทราบว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรม ธรรมต้องเป็นสิ่งซึ่งมิใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นเรา เหมือนอย่างธรรมกับธาตุ ความหมายเดียวกัน จะใช้คำว่าธาตุ ธา – ตุ หรือจะใช้คำว่าธรรม ความหมายเหมือนกันเลย ถ้าเป็นธาตุ มันจะเป็นเราได้อย่างไร ธาตุก็เป็นธาตุ แข็งก็เป็นแข็ง กลิ่นก็เป็นกลิ่น ไม่ใช่เราเลย เพราะฉะนั้น ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริง คือตอนนี้เอาตัวเราออกไปก่อนให้หมดเลย เอาแต่ธรรมว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ทุกอย่างที่มีจริง ทรงตรัสรู้ว่า เป็นธรรม เป็นธาตุแต่ละลักษณะ แต่ละลักษณะ ซึ่งธาตุที่ปรากฏ เราลองค่อยๆ คิดดู เพราะเกิด ถ้าไม่เกิดจะปรากฏไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น อย่างเราเคยคิดว่า เราเห็นโต๊ะ โต๊ะนี้อยู่ตั้งนาน ไม่เห็นมีใครทำให้มันเป็นโต๊ะขึ้นมาได้ เหมือนกับมีอยู่แล้ว แต่ทรงแสดงว่า แข็งที่ปรากฏต้องเกิดจึงกระทบกับกายปสาท แล้วจิตที่รู้แข็ง กายวิญญาณจึงเกิดได้

    เพราะฉะนั้น ในโลกของธรรมจะไม่มีอะไรที่มีอยู่ยั่งยืนเลย แต่จะมีจิตที่เกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ เพราะว่าจิตเป็นสภาพธรรมที่ลึกลับน่าอัศจรรย์มากเลย ในฐานะที่เป็นนามธาตุล้วนๆ ไม่มีรูปใดๆ เจือปน ใดๆ เลยทั้งสิ้นในจิต เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ซึ่งลองคิดดูว่า ถ้าเอารูปออกให้หมด ทั้งสี ทั้งเสียง ทั้งกลิ่น ทั้งรส ทั้งอะไรหมดที่เป็นรูปออกหมด ก็จะมีธาตุรู้ หรือสภาพรู้ เพราะฉะนั้น เขาจะเป็นสิ่งซึ่งไม่มีลักษณะของรูปใดๆ เจือปนเลยทั้งสิ้น แล้วตัวจิตเหมือนกับไฟซึ่งร้อน เขาก็มีคุณลักษณะของเขาอย่างหนึ่ง จะเผาให้ไหม้ หรือจะทำให้อบอุ่น ก็เป็นลักษณะของธาตุไฟ แต่ลักษณะของจิต เขาเป็นอนันตรปัจจัยในตัวเขาเอง คือทันทีที่ดับจะเป็นปัจจัยให้จิตอื่นเกิดสืบต่อทันที อนันตรคือไม่มีระหว่างคั่น

    เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย หรือตั้งแต่เกิดจนถึงเดี๋ยวนี้ จิตที่ว่าเป็นของเราเปลี่ยนแปลงเกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสักขณะเดียวซึ่งไม่ดับ ขณะนี้ไม่ใช่ตอนเกิดแน่ๆ ขณะนี้ไม่ใช่ตอนภวังค์แน่ๆ ขณะนี้ที่เห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เห็นเมื่อวานนี้แน่ๆ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ก็เป็นสภาพธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ที่เราไปฟังพระสวดศพ อนันตรปัจจัย สมนันตรปัจจัย เหตุปัจจัยโย อารัมมณปัจจัยโย พวกนี้คือสภาพธรรมให้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดขึ้นซึ่งละเอียดมาก แม้แต่ว่าเป็นนามธรรมหรือรูปธรรม ก็ทรงแสดงปัจจัยที่จะทำให้นามธรรมประเภทนั้นเกิด หรือว่ารูปธรรมประเภทนี้เกิด โดยกี่ปัจจัย ไม่ใช่ปัจจัยเดียว เพียงชั่วเร็วแสนเร็วยิ่งกว่ากระพริบตา จิตเกิดดับนับไม่ถ้วน ทรงแสดงถึงสภาพนามธรรม และรูปธรรมซึ่งเป็นปัจจัยซึ่งกัน และกัน

    เพราะฉะนั้น จิตนี้น่าอัศจรรย์มาก เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ซึ่งต้องเกิดขึ้นรู้ จะยับยั้งไม่ให้ธาตุนี้เกิดได้ไหมคะ นี่คืออนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา หรือไม่ใช่ของใคร เสียงที่ดับ ได้ยินที่ดับ เป็นเราได้ยินต่อไปอีกหรือเปล่าคะ

    เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เกิดดับ หรือสิ่งใดก็ตามซึ่งเกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นของใคร มันก็เป็นของใครไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เราก็เริ่มจะเข้าใจความหมายของธรรมทั้งหลายหรือธรรมทั้งหมด สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรมทุกอย่างเป็นอนัตตา ไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ของใคร บังคับบัญชาไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะบังคับไม่ให้เกิดสืบต่อก็ไม่ได้ ทุกอย่างที่บังคับไม่ได้ ก็คือความหมายอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ถ้าปัญญาเราไม่ได้รู้อย่างนี้ ก่อนการศึกษาธรรมเป็นเราเต็มที่เลย แต่พอศึกษาธรรม ความเข้าใจขั้นศึกษา ก็คือเข้าใจว่า พระพุทธเข้าทรงตรัสรู้ความจริง ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้เลย ทุกคำที่ตรัสจะเป็น ๒ หมายความว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกอย่าง หนึ่งไม่ได้ จาก ๑ แล้วจะไปเป็น ๒ ไม่ได้ ๑ ต้องเป็น ๑ ลักษณะอย่างนี้ต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ รูปต้องเป็นรูป รูปจะไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นามธรรมต้องเป็นนามธรรม จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ ทั้งหมดคือมีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ อย่างแข็งที่เรากระทบ ฟังดูด้วยการพิจารณาตามความเข้าใจ เชื่อได้ว่า ต้องเกิด ถ้าไม่เกิดไม่ปรากฏ แล้วก็ดับด้วย แต่เมื่อไม่ประจักษ์ก็คิดว่า มันเป็นไปได้อย่างไร แต่ถ้าคิดดู ในนี้มีอากาศธาตุแทรกคั่นละเอียดยิบเลย แล้วแต่ละกลุ่มเกิดเพราะเหตุปัจจัย แล้วแต่ว่ารูปที่นี่มีอุตุเป็น สมุฏฐาน ความเย็นความร้อนเป็นสมุฏฐาน หรือว่ารูปนั้นมีกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปนี้มีจิต เป็นสมุฏฐาน รูปนั้นมีอาหารเป็นสมุฏฐาน

    ถ้าพูดถึงสมุฏฐานกับธรรม ไม่มีใครทำอะไรได้เลย กรรมเป็นปัจจัยทำให้รูปเกิด รูปที่เกิดเพราะกรรม จะเปลี่ยนเป็นรูปที่เกิดเพราะจิตไม่ได้ เพราะมีกรรมเป็นสมุฏฐาน กำกับตายตัวทั้งหมด ยิ่งศึกษาก็คือทั้งหมดเป็นอนัตตา แม้ว่าเราไม่สามารถประจักษ์ความเป็นอนัตตาได้ เพราะว่าปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น แต่เริ่มเข้าใจถูก ความเห็นถูกแต่ละภพแต่ละชาติจะค่อยๆ สะสม จนกระทั่งพอฟังธรรมเราเข้าใจเลยว่าเป็นธรรม แล้วธรรมตลอดวันตั้งแต่เช้าจนถึงค่ำ กี่วันกี่คืนก็เปลี่ยนลักษณะของธรรมไม่ได้เลย พอเกิดโกรธ เป็นธรรม มีจริงๆ เกิดแล้วก็ดับ เพราะเดี๋ยวนี้ใครโกรธ ก็ไม่มี ทุกอย่างหมดก็เป็นธรรม เป็นอนัตตา แม้ว่าเวลาที่ไม่ได้ฟัง เป็นอัตตา แต่พอได้ยินได้ฟัง ความเข้าใจความเป็นอนัตตาก็เพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้น จึงมีผู้ที่สะสมความเข้าใจถูกจนกระทั่งประจักษ์แจ้งเป็นพระโสดาบัน คือ เห็นจริงตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้วทรงแสดงให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย แต่ต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลที่สะสม ถ้าไม่มีการฟัง ไม่เริ่มตั้งแต่การฟัง ก็ไม่มีทางที่เราจะคิดได้เอง


    หมายเลข 9545
    20 ส.ค. 2567