อธิบายความหมายของธรรม


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐๒


    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ครับ ให้ท่านอาจารย์อธิบายความหมายของธรรม

    ท่านอาจารย์ สิ่งที่มีจริงทั้งหมดคือธรรม เราไม่ได้ใช้ชื่อเรียกว่าคุณอู๊ด หรือใคร แต่ธรรมเป็นธรรมหมาย ความถึงเป็นสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น ธรรมไม่มีใครเป็นเจ้าของ ใครจะเป็นเจ้าของธรรมบ้างคะ โลภะ ความติดข้องเกิดขึ้น ทำให้เราอยากได้นั่น อยากได้นี่ รับประทานอาหารก็ต้องอร่อย แล้วมันหมดไป ไม่เหลือเลย เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป เกิดขึ้นแล้วก็หมดไป อย่างได้ยินเดี๋ยวนี้ ได้ยินมี เป็นของจริงชั่วขณะที่เสียงปรากฏ แสดงว่าเสียงปรากฏกับสภาพธรรมที่กำลังได้ยินเสียง ทั้ง ๒ อย่างเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริง

    อะไรก็ตามที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม จะใช้อีกคำหนึ่งก็ได้ คือใช้คำว่าธาตุ หรือ ธา - ตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ว่าสิ่งที่มีจริง จริงต่อเมื่อเกิดขึ้น ถ้ายังไม่เกิด หรือว่าเกิดแล้วหมดไป จริงชั่วขณะที่ปรากฏแล้วก็หมด แต่ทีนี้เป็นสิ่งที่จริง เพราะเกิดปรากฏให้เห็นแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่เป็นจริง แล้วเราไม่ต้องมีชื่อเรียกอะไรสักอย่างเดียว สิ่งนั้นก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือใครจะไปเปลี่ยนแปลงลักษณะสภาพธรรมนั้นไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจิรง ไม่เปลี่ยนลักษณะของธรรม เพราะว่าเปลี่ยนลักษณะของธรรมไม่ได้ ธรรมเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น คุณแอ๊ดเปลี่ยนได้ไหมคะ ถ้าเกิดเสียใจ ไม่สบายใจขึ้นมา เกิดแล้ว เป็นลักษณะของความเสียใจ แล้วบางวันเราก็เกิดแล้ว คือ ความรู้สึกสบายใจ ดีใจ แต่ว่าชั่วขณะๆ แล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างถ้าเราเข้าใจธรรมจริงๆ แล้วเราจะรู้ว่า เราศึกษาพระปัญญาคุณที่ทรงแสดงธรรมให้พวกเราสามารถรู้ตามความเป็นจริงว่า ที่เคยเป็นเรา ที่เคยยึดถือ ก็เพราะว่ามีสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ แต่ว่าด้วยความไม่รู้ เราก็เลยไปยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเรา อย่างกำลังเห็น เป็นคุณใหญ่กำลังเห็นหรือเปล่า กำลังเห็น เป็นหรือเปล่าคะ เป็นคุณอู๊ดเห็นหรือเปล่าคะ ก่อนศึกษาธรรมเป็นเราหมดเลย กำลังคิดก็เป็นเรา กำลังสุขก็เป็นเรา กำลังทุกข์ก็เป็นเรา แต่ความจริงสิ่งต่างๆ เหล่านี้เกิดแน่นอน มีจริง ปรากฏชั่วเล็กน้อยนิดเดียวแล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราแต่ละขณะเกิดจริง มีจริง ปรากฏจริง แล้วก็หมดไปจริงๆ ไม่มีเหลือเลย เมื่อวานนี้เหลือมาถึงวันนี้หรือเปล่าคะ ไม่เหลือเลย เมื่อกี้นี้ก็ไม่เหลือมาถึงขณะนี้ ทุกขณะถ้าทราบว่าเกิดเพื่อจะไป เกิดแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ไป เกิดแล้วก็ไป นี่คือความจริง ไม่มีใครสามารถจะย้อนกลับสิ่งที่หมดแล้วคืนมาได้เลย เรียกร้องอย่างไร อ้อนวอนอย่างไร ก็กลับมาไม่ได้ แต่ว่ามีสิ่งใหม่ที่เกิด ใหม่ตลอด แล้วก็ดับไปตลอด แล้วก็เก่าไปตลอด ก็เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนความจริงอันนี้ได้เลย คือ สิ่งไหนก็ตามที่กำลังเกิดมีในขณะนี้ มีในขณะนี้ก็ต้องหมดไป จะให้ยั่งยืนต่อไป มาได้เลย เด็กเกิดมา จะไม่ให้โตได้ไหมคะ ไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตาย ไม่ได้เลย ไม่ให้พลัดพรากจากสิ่งที่พอใจก็ไม่ได้ อย่างไรๆ ก็ต้องเจอ ล้วนแต่เป็นสภาพธรรมทั้งหมด

    นี่คือธรรมที่เราฟังแล้วฟังอีกให้เข้าใจความจริงของธรรม คือ เราอยู่ในโลกของธรรม แต่เราไม่รู้จักธรรม กับเราอยู่ในโลกของธรรม แล้วเริ่มเข้าใจความเป็นธรรม ก็แล้วแต่เราว่า จะเลือกอยู่อย่างเข้าใจ หรือว่าอยู่ไปจนตายก็ไม่เข้าใจเลยว่า เป็นธรรม เพราะว่าผู้ที่จะแสดงธรรมมีบุคคลเดียว คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จากการตรัสรู้ว่าเป็นธรรม แต่ถ้าพระพุทธเจ้ายังไม่ตรัสรู้ ก่อนการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ก็มีคนทำกุศลเยอะแยะ ทานก็มี ศีลก็มี ความสงบของจิตก็มี แต่เป็นเรา เป็นตัวเอง เป็นเขาทั้งหมดเลย ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า เป็นธรรมได้ ต่อเมื่อไรได้ทรงตรัสรู้ ก็คือตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่เคยเป็นโน้น เป็นนี่ เป็นเรา เป็นเขา เป็นสิ่งใดๆ ก็ตาม ล้วนแต่ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน นึกออกเมื่อไรก็เป็นธรรมเมื่อนั้น แต่พอลืมก็เป็นเรา เป็นอะไรไปหมดเลย แต่ถ้าเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้วมีการระลึกได้ แม้แต่การที่จะระลึกได้ ก็ไม่ใช่มีเราอีก แล้ววันหนึ่งๆ ฟังธรรมไป เราจะเริ่มคิดอย่างนี้ได้กี่ครั้ง เพราะว่าแม้แต่ความคิดของเรา เราห้ามไม่ได้เลย บอกให้คิดอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไม่ได้ สั่งให้คิด พยายามให้คิดก็ไม่ได้ แต่เมื่อไรที่ความคิดอย่างหนึ่งอย่างใดเกิดขึ้น ผู้มีปัญญาสามารถเห็นความจริงว่า แม้ความคิดนั้นก็เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย บังคับไม่ได้ อยู่ดีๆ ก็เกิดคิดอะไรขึ้นมาก็ได้ พยายามที่จะคิด คิดไม่ออก แต่เสร็จแล้วก็คิดขึ้นมาเองก็ได้ คือทุกอย่าง ทุกขณะแสดงความเป็นอนัตตา หมายความว่าไม่มีเจ้าของ ไม่ใช่ใคร เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่างซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป

    เราก็มีชีวิตอยู่ในโลกนี้เพียงเท่านี้เอง คือมีสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับ แต่ทุกคนหวังสุข แล้วทีนี้เหตุของความสุขกับเหตุของความทุกข์ เรามีเฉพาะเหตุที่จะให้เกิดสุขเท่านั้นหรือ หรือว่ามีเหตุให้เกิดทุกข์ด้วย อย่างเพื่อนฝูงของเรา บางคนก็เจ็บปวดร้ายแรง เข้าโรงพยาบาล วันหนึ่งจะเป็นเราได้ไหม หรือว่าเราไม่มีสิทธิ เขามีสิทธิเท่านั้น ไม่มีทางที่ใครจะรู้เลยว่า ข้างหน้าแม้จะ ๑ ขณะจิตอะไรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดแล้วรู้ ว่าที่เกิดมาได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ของแต่ละคนต่างๆ กันตามการสะสมของแต่ละคน เราก็จะเริ่มเป็นคนที่มีความเข้าใจคนอื่น แล้วก็มีความเห็นใจ แล้วก็สามารถที่จะช่วยให้เขาเกิดปัญญาเท่าไร เราก็จะทำ เพราะเหตุว่าคนที่มีความทุกข์ เพราะไม่มีปัญญา ถ้ามีความสุขแต่ไม่มีปัญญา ก็สุขไปโดยที่ไม่รู้ความจริง

    เพราะฉะนั้น ที่สำคัญที่สุด เคยพูดถึงว่า ในความมืดสนิทน่ากลัวไหมคะ ความมืดสนิทมีได้ไหมคะ หรือว่าจะสว่างอย่างนี้ไปตลอด มืดสนิทมีได้ ลองคิดถึงตอนที่ จอห์น เอฟเคเนดี้น้อยเขาขับเครื่องบินไปกลางทะเล มืดสักแค่ไหน แต่มืดกว่านั้นยังมี เพราะขณะนั้นยังมีการเห็นความมืด แต่ถ้าไม่มีตาเลย ที่จะรู้ว่า มีแสงสว่างกระทบ ความมืดนั้นจะยิ่งสักแค่ไหน ในความมืดอย่างนั้น ถ้ามีปัญญาก็ไม่เป็นทุกข์ เพราะรู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าไม่มีปัญญา สว่างๆ อย่างนี้ เราก็กลัวนั่นกลัวนี่ เดี๋ยวเราจะไม่สบาย เดี๋ยวเราจะเป็นทุกข์ เดี๋ยวเราจะอะไร คือมีเราเป็นแกนกลาง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งยากนักยากหนาที่จะสละความเป็นเรา แล้วถ้ามีเรามากเท่าไร ก็มีความเห็นแก่ตัวมากเท่านั้น ยิ่งลึกลงไปอีก แล้วตัวนี้ต้องการแต่ความสุข ใครมาแผ้วพานเราทางตา ทางหู ทางจมูกไม่ได้เลยสักอย่างเดียว รักตัว หวงตัว ระวังตัว ที่จะให้ไม่มีใครมาทำให้ เดือดร้อนเป็นทุกข์ แต่ทุกคนก็หนีไม่พ้น คือว่าต้องแล้วแต่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในแต่ละวัน ถ้าเรารู้อย่างนี้เราก็เบาใจ ทุกอย่างที่จะเกิด มันต้องมีเหตุ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มาถามว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา คำตอบคือต้องเป็นเรา เพราะเราได้กระทำเหตุที่สมควรที่จะสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับเรา เหมือนกับเวลานี้ใครจะสุขจะทุกข์ก็ตามแต่ ก็เพราะเขาได้ทำเหตุที่สมควรแก่สุข และทุกข์นั้นๆ สุขทุกข์นั้นๆ ก็เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ จะเกินเหตุไปไม่ได้เลย เราใส่เกลือเท่าไรก็เค็มเท่านั้น จะให้เค็มเกินเกลือที่เราใส่ หรือน้อยกว่าเกลือที่เราใส่ก็ไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

    เชื่อมั่นคงอย่างนี้หรือยังคะ ที่จริงเป็นแต่เพียงเริ่มต้นของคำว่า “ธรรม” ให้รู้จักจริงๆ ว่าสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ระหว่างที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ไม่ใช้คำอะไรเลย ไม่ต้องมีคำอะไรเลย มีธรรมปรากฏเหมือนเดี๋ยวนี้ แต่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งความจริงว่า ขณะนี้สภาพนี้คืออะไร เกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วก็ทรงรู้เหตุที่จะให้เกิดมากมายมหาศาล แม้ว่าจะเกิดขึ้นเพียงขณะเดียวสั้นๆ แต่ก็สามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้ด้วยพระสัพพัญญุตญาณเหนือบุคคลอื่นใดทั้งหมด แต่ของเราทั้งๆ ที่กำลังเห็นอย่างนี้ เราต้องเริ่มต้นกันใหม่ว่า นี่เป็นธรรม ธรรมไม่ได้อยู่นอกตัว ที่นี่ไม่มีนะ ไม่มีตา ไม่มีหู ไม่มีจมูก ไม่มีลิ้น ไม่มีกาย ไม่มีใจจะคิดนึก ก็เหมือนท่อนไม้ คิดนึกก็ไม่มี เห็นก็ไม่มี ได้ยินก็ไม่มี แต่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้จำเป็นต้องมีตามเหตุตามปัจจัย ใครสร้างคะ คุณมัณฑนา ที่มีจริง ใช่ไหมคะ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าของคุณมัณฑนาเป็นธรรม หรือเป็นคุณมัณฑนา

    ผู้ฟัง เป็นธรรมค่ะ

    ท่านอาจารย์ ค่ะ อันนี้ตอบได้อย่างง่ายๆ เลย แต่ว่าเราต้องเข้าใจมากกว่านั้นอีกค่ะ

    นี่เพียงหน้าหนึ่ง หรือคำหนึ่ง คำแรก ใช่ไหมคะว่า ธรรมคืออะไร เพราะว่าทุกคนฟังธรรม เรียนธรรม แสวงหาธรรม ปฏิบัติธรรม แต่รู้จริงๆ หรือเปล่าว่า ธรรมคืออะไร

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมที่จะให้เข้าใจจริงๆ ต้องเริ่มต้นตั้งแต่คำแรก แล้วก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ในห้องนี้มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมบ้างคะ คุณหนึ่ง ไม่มีใช่ไหมคะ เสียงเป็นธรรมหรือเปล่าคะ คิดนึก ทุกอย่างเลย ทุกขณะเลย เป็นธรรม


    หมายเลข 9549
    20 ส.ค. 2567