การเกิดเป็นมนุษย์ ง่ายหรือยาก
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐๔
ผู้ฟัง ขณะนี้ท่านอาจารย์ก็พูดถึงเรื่องกรรม คือ เหตุที่กระทำไป การเกิดเป็นมนุษย์ หรือการเกิดในสุคติภูมิ ง่ายหรือยากครับ ยากมากๆ เลย ใช่ไหมครับ เคยฟังเรื่องเต่าตาบอดที่ทุกๆ ร้อยปีโผล่หัวมาทีที่ในมหาสมุทร แล้วมีห่วง แล้วมีลมพายุที่พัดห่วงนั้น ทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออก ตะวันตก แล้วกว่าเต่าจะโผล่หัวมาอยู่ในใจกลางห่วง ทุกๆ ๑๐๐ ปี เต่าตาบอดด้วย อันนั้นคือโอกาสที่เราจะได้มาเกิดในมนุษยภูมิอีกที
เพราะฉะนั้น ยากแสนยาก คนที่ไม่รู้คิดว่า เกิดมาเป็นมนุษย์ง่ายแสนง่าย แต่ความจริงยากแสนยาก เพราะฉะนั้น เราควรเข้าใจประโยชน์ของกุศลทั้งปวง ประโยชน์ของการอบรมเจริญปัญญา เพื่อที่จะเป็นสังขารขันธ์ปรุงแต่งเห็นโทษภัยของสังสารวัฏฏ์ ที่ยาวนานเหลือเกิน จะกราบถามท่านอาจารย์ต่อ ผู้ที่ไม่เห็นความสำคัญในการศึกษาพระธรรม แล้วก็ยังอาจจะไม่ทราบว่าปัญญาคืออะไร มีประโยชน์อย่างไร มีความสำคัญอย่างไร แต่บุคคลนั้นก็เป็นคนดีโดยพื้นฐาน คือว่าชอบให้ทาน แล้วรู้ว่าการประพฤติ ทางกายวาจาที่ดี เป็นสิ่งที่ควรทำ แต่บางทีก็ทำไม่ได้เสมอไป เพราะว่าเรายังมีกิเลสอยู่ แต่ก็ยังไม่เห็นประโยชน์ของปัญญาสักที ท่านอาจารย์มีข้อแนะนำอย่างไรบ้างครับ
ท่านอาจารย์ ยากแน่นอน แต่ถ้าคิดถึงว่าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร แล้วใครมีโอกาสจะได้เจอ อย่างที่คุณแจ๊คพูดถึงเรื่องเต่าตาบอด ก็คือสมัยที่กว่าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราถอยหลังกลับไปแสนโกฏิกัปป์ เราไม่รู้ว่าเราเป็นอะไรมาบ้าง กว่าจะได้เป็นมนุษย์ยาก แล้วเมื่อเป็นมนุษย์แล้ว ยังมีแอกอีกชนิดหนึ่งลอยไปลอยมา คือ การที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงอุบัติ เพราะว่าในสมัยที่พระพุทธเจ้าไม่อุบัติ มี ไม่ใช่ว่าจะอุบัติมากมายหลายพระองค์โดยรวดเร็ว อย่างพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ตรัสรู้เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปี แล้วก็พระศาสนาจะเสื่อม ค่อยๆ หมดสิ้นไป เพราะไม่มีใครศึกษา ไม่มีใครเข้าใจ มีพระไตรปิฎกจริง มีพระอรรถกถาจริง แต่เราอ่านไม่รู้เรื่อง ก็เหมือนเราอ่านตำราแพทย์ เราไม่ได้เรียนตำราแพทย์มาเลย เราก็อ่านออกว่า คำนี้เขียนว่าอะไร อ่านว่าอะไร แต่เราจะไม่รู้เรื่อง ฉันใด ถ้าเราไม่ศึกษาพระธรรม เราก็จะไม่เห็นความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเห็นแต่พระพุทธรูปที่บ้าน ที่วัด แต่ความเป็นพุทธะ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ มากมายแค่ไหน จะค่อยๆ รู้เมื่อเรียน เมื่อค่อยๆ เข้าใจพระธรรมขึ้น ก็จะรู้ว่าผู้นี้เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงแสดงธรรมให้เราเกิดปัญญา สามารถเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเราแต่ละวัน แต่ละขณะถูกต้องขึ้น
เพราะฉะนั้น โอกาสนี้หายากมาก แล้วก็ห่วงที่ ๓ คือ ได้มีโอกาสได้ฟังธรรม เป็นมนุษย์ เกิดในสมัยพระพุทธเจ้า แต่เป็นพวกเดียรถีย์ ในพระไตรปิฎกมีเยอะเลย ผู้ที่มีความเห็นอื่น ไม่เห็นตรงตามที่ทรงแสดง ไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้าเลย มีอาจารย์ท่านหนึ่งไม่ยอมไปเฝ้า แม้ว่าจะอยู่ใกล้สักเท่าไรก็ไม่ไป กลัวลูกศิษย์ลูกหาก็คงจะว่าถ้าได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ยอมเป็นผู้ที่มีความเห็นผิดต่อไป เพราะฉะนั้น ในกาลไหน เราเกิด เรามีชีวิตอยู่ไม่นานเลย ไม่ถึง ๑๐๐ ปี ส่วนใหญ่ จะเกินร้อยไปก็ไม่มาก แล้วไปไหน ตอนนี้ไม่รู้เลย เหมือนกับว่าเรามาสู่โลกนี้ เรามาจากไหน ก็ไม่มีใครบอกได้ แต่มาแล้วเพราะกุศลกรรม กุศลกรรมมี ๒ อย่าง กรรมที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา กับกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้น อย่างทาน ศีล ที่ให้โดยเราไม่รู้เหตุว่าขณะที่ให้เป็นจิตใจที่ดีงาม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เรามีจิตใจที่ดีงามทั้งวันหรือเปล่า มากหรือน้อย นี่เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลซึ่งจะรู้จักตัวเองว่า วันหนึ่งๆ ถ้าเขารู้จักตัวเขา คนที่คิดว่าให้ทานมาก ความจริงน้อย เพราะว่าอกุศลเกิดมากกว่านั้นเยอะมาก ถ้ารู้ตัว โอกาสของทานอย่างวันนี้กี่ครั้ง อาทิตย์นี้มีหรือเปล่า เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง ก็แล้วแต่แต่ละบุคคล แต่อกุศลทุกขณะที่เห็น เพราะชอบเห็น ต้องการเห็น อยากเห็น ทุกขณะที่ได้ยินก็เกิดแล้ว ไม่ติดข้องพอใจในเสียงเพราะๆ ก็ไม่ชอบใจในเสียงที่ไม่น่าฟัง อาจจะเป็นเสียงติเตียน หรือเสียงอะไรที่ไม่น่าฟังทั้งหมด เราก็อยู่กับโลภะ โทสะ โมหะทั้งวัน เหมือนเจ้าของบ้าน นานๆ แขกคือกุศลก็มาสักทีหนึ่ง แล้วแขกกุศล ใครมาบ่อยหรือไม่บ่อย บางทีบ้านนี้ไม่มีแขกที่เป็นกุศลเลยจนตายไปก็ได้ แต่นั่นยังเป็นกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เพราะไม่ได้ฟังธรรม แต่ถ้าเป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา จะรู้คุณค่าของพระธรรมตามที่เราได้ คิดว่า คนไทยก็คงจะสวดมนต์พอสมควร อิติปิโส ภควา สรรเสริญแล้ว แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราไม่ศึกษาธรรม แม้เพราะเหตุไหน แม้เพราะเหตุนี้ ถ้าพูดไปเฉยๆ บางที อิติปิโส ก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรด้วยซ้ำไป แต่ต่อไปนี้จะทราบ อิติปิโส แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้ แม้เพราะเหตุนี้พระผู้มีพระภาคทรงเป็นพระอรหันต์ ที่แม้เพราะเหตุนี้ทรงเป็นพระอรหันต์ ต่อเมื่อเราฟังพระธรรม จึงรู้ว่าคนที่มีกิเลสสอนอย่างนี้ไม่ได้ ต้องเป็นคนที่หมดกิเลสแล้ว แล้วหมดกิเลสโดยปัญญาสามารถดับกิเลส เพราะว่าบางคนเพียงระงับ อย่างพอโกรธ บางคนก็หาตำรา บอกหน่อยทำอย่างไร นับ ๑ ถึง ๑๐ บางทีคนที่บอกเด็ก โกรธ เด็กก็บอกนี่ไง นับ ๑ ถึง ๑๐ ก็ ง่ายๆ แต่มันไม่ได้ผล ที่ว่าจะไม่โกรธอีกเลย มันก็เพียงแค่ชั่วคราวที่คิดออก ทั้งๆ ที่ผิดแล้วก็ยังโกรธอยู่ต่อไปก็ได้ เพราะว่ามีเชื้อของความโกรธที่จะเกิดต่อไป แต่ความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าดับเชื้อของกิเลสหรืออกุศลทุกชนิด ไม่ให้เกิดอีกเลย จึงเป็นพระอรหันต์