สภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่เปลี่ยนเลย
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐๖
ขณะนี้ สภาพธรรมกำลังปรากฏ ไม่เปลี่ยนเลย ทางตาก็คืออย่างนี้แหละ ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมที่สามารถปรากฏ เท่านั้นเอง แล้วเราก็จะไม่ค่อยไปสนใจยึดมั่นในเรื่องราว ในรูปร่าง ในสัณฐาน เพราะขณะนั้นรู้จริงๆ ว่า เป็นธรรมอย่างหนึ่ง พอถึงเสียงก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้น เราก็จะอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจทีละเล็กทีละน้อย พูดอย่างนี้เหมือนเร็ว เพราะฉะนั้น ก็จะอยู่กับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้นาน แต่เราต้องรู้ เหมือนกับการจับด้ามมีด วันนี้จับทั้งวันไม่ปรากฏว่าสึกเลย จนกว่าจะสึกด้วยการจับเพราะปรากฏว่าต้องสึก ถ้าจับบ่อยๆ แต่เมื่อไรไม่รู้ ฉันใด การที่เรามีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วมีธรรมที่ปรากฏทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้าง ใจบ้าง เท่านั้นเอง คือความรู้ที่จะรู้จริงๆ ว่า โลกปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เวลานอนหลับไม่สามารถจะรู้โลกหนึ่งโลกใดได้เลย เพราะขณะนั้นเป็นจิตที่เป็นภวังค์ทำกิจสืบต่อดำรงภพชาติ ไม่ใช่จิตที่สามารถจะเห็น จะได้ยิน จะได้กลิ่น จะลิ้มรส จะรู้สิ่งกระทบสัมผัส จะคิดนึก
เพราะฉะนั้น โลกไม่ปรากฏ เวลานอนหลับ พิสูจน์ธรรมได้ไหมคะ โลกปรากฏหรือเปล่าคะ เวลานอนหลับ ไม่ปรากฏ เราก็รู้เลย สติปัญญาจะเกิดก็ต่อเมื่อเห็น ถ้าไม่เห็น สติปัญญาจะไปรู้อะไร ต้องมีสิ่งที่ปรากฏแล้วสติปัญญาจะค่อยๆ อบรมความรู้ถูกต้อง ความเห็นถูกต้องในสิ่งที่ปรากฏ ด้วยการที่มีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่า สิ่งที่ปรากฏมีจริง แล้วก็เป็นเพียงธรรมแต่ละอย่าง ที่เคยเป็นเราทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็เป็นธรรมแต่ละลักษณะ ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ความคิดเกิดขึ้น ความคิดก็มีจริงเป็นธรรม ถ้าคิดดี เราเรียนมาใช่ไหมคะ กุศลจิต แต่เวลาที่คิดดี เราเกิดไม่รู้ว่านี่อะไร แล้วพยายามหาชื่อใส่ อ้อชื่อกุศล แต่จริงๆ ไม่ใช่ไปรู้ชื่อ แต่ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรม แล้วก็ตอนแรกที่สุด ถ้าเรายังไม่รู้ว่า เป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม เราจะไม่รู้ในความเป็นกุศล หรือเป็นอกุศล เพราะเหตุว่ายังเป็นเราอยู่ พอกุศลจิตเกิด เราดีไหมคะ เป็นเราดี พออกุศลจิตเกิด โลภะ โทสะ ก็เป็นเราไม่ดี เพราะฉะนั้น เราจะไม่มีความเห็นผิดได้ ก็ต่อเมื่อเข้าใจว่าลักษณะนั้นเป็นนามธรรมหรือเป็นรูปธรรม เพราะว่าลักษณะของเขาเร็วมาก เพียงแค่รู้ความต่างของนามธรรม และรูปธรรมก่อน และลักษณะนั้นแม้ว่าเป็นกุศล เป็นอกุศลจริงๆ แต่ความรู้ของเราต้องตามลำดับ คือรู้ว่าลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ เป็นนามธรรม ส่วนรูปก็ไม่ใช่สภาพรู้ ก็มีอยู่ ๒ อย่าง นามธรรมกับรูปธรรม
รักนามหรือรักรูป ทั้งนามทั้งรูป เพราะฉะนั้น จะบอกว่า เราเห็นผิดยึดถือรูปว่าเป็นเราอย่างเดียวไม่ได้ เราเห็นผิด ยึดถือนามว่าเป็นเราอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องทั้ง ๒ อย่าง ทางไหนมากคะ ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ มากทุกทาง แต่บางคนอาจจะทางหนึ่งทางใดมากกว่าทางอื่น ใช่ไหมคะ อย่างคนที่ไม่ติดในทางตามากเท่ากับทางรสก็มี หรือคนที่ติดในทางตามาก ต้องสวย รสอะไรก็ไม่เป็นไร อร่อยไม่อร่อยก็ไม่ว่า แต่ขอให้สวย ก็คือติดทางตามาก บางคนก็ชอบเสียงเพราะๆ ฟังเพลงทั้งวัน อย่างนั้นก็เพราะเหตุว่าเขาติดในทางหู ต้องการในทางหู แต่สิ่งหนึ่งไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ วัยไหนก็ตาม ติดในรส
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นภัยของความติด เราพอที่จะฝึกหัด แต่หมายความว่ามีความเห็นถูกจริงๆ คือ ไม่ทิ้งนามธรรม และรูปธรรม ไม่ทิ้งความรู้ว่า เป็นธรรม ไม่ทิ้งความรู้ว่าเป็นนาม หรือเป็นรูป ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ทุกคำในพระสูตร ต้องประกอบกับพระอภิธรรม ถ้าอ่านแต่เพียงพระสูตร แล้วก็ไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระอภิธรรมที่เป็นอนัตตา เป็นจิต เจตสิก รูป จะเข้าใจว่า ให้เราทำทั้งหมด ละชั่ว ประพฤติดี ชำระจิตให้บริสุทธิ์ เหมือนบอกให้ทำ แต่ละชั่ว เป็นสิ่งที่ควร แต่แล้วแต่ปัจจัย เพราะเหตุว่าควรละ แต่บังคับให้ละไม่ได้ ควรเจริญ แต่บังคับให้เจริญไม่ได้ แล้วแต่เหตุปัจจัย แต่ชี้เหตุผลไว้ว่า สิ่งที่ไม่ดีก็ควรละ สิ่งที่ดีก็ควรเจริญ
เพราะฉะนั้น ต้องประกอบกันทั้ง ๓ ปิฎก จึงจะเข้าใจได้ถูกต้อง ไม่อย่างนั้นเราก็จะมีความเป็นเรา แล้วก็คิดว่า ต้องทำ แต่ความจริง คิดว่าเป็นเรา ถูกหรือผิด แค่คิด เห็นไหมคะ เพียงคิด ก็ยังไม่รู้เลยว่าผิดแล้ว ขณะนั้นเป็นกุศลจิตไม่ได้ เป็นอกุศล แล้วถ้าจะทำด้วยความเข้าใจผิด ก็ยิ่งเป็นไปด้วยอกุศล
เพราะฉะนั้น ต้องละเอียด แล้วก็ต้องรู้ตามความเป็นจริง ต้องตรงต่อลักษณะของสภาพธรรม เพราะว่าธรรมเป็นธรรม