จะไปทำอะไรกับโลภะ โทสะ


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๐๙


    อันดับแรกก็คือว่าเราไม่ต้องไปคิดว่า เราจะไปทำอะไรกับโลภะ โทสะ ดูเหมือนว่าเราจะเตรียมการที่พอมีอย่างนี้เกิดขึ้น เราทำอย่างนี้จะดีไหม หรือว่าจะถูกไหม ก็เป็นเพียงความคิด แต่ว่าจริงๆ แล้ว สิ่งที่จะต้องรู้ประการแรกที่สุด คือ ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปกังวลกับการที่เราคิดอย่างนี้จะถูกจะผิด จะควรไม่ควร เพราะว่าเป็นสภาพธรรมที่คิด เกิดขึ้นแล้วแต่เขาจะคิด บางกาลเวลาที่โทสะไม่เกิดก็ไม่ได้คิดอย่างนี้ แต่บางครั้งเวลาโกรธขึ้นมาก็คิดอย่างนี้ หรือจะคิดอย่างอื่นก็ได้ เพราะฉะนั้น ก็แล้วแต่ว่าอะไรที่ยังไม่เกิด เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า อะไรจะเกิด แต่เมื่อเกิดแล้ว เราจึงรู้ อย่างพอโกรธเกิดขึ้น คุณมลคิดไหมว่า แล้วคุณมลจะทำอย่างไร จะคิดอย่างไร เพราะเหตุว่าอาจจะไม่เป็นอย่างคุณมลคิดก็ได้ สำหรับความโกรธที่เกิดขึ้นคราวนั้น อาจจะบางคราวพอโกรธแล้วก็คิดอย่างนี้ อีกคราวหนึ่งโกรธแล้วก็คิดอย่างอื่นก็ได้

    เพราะฉะนั้น เราไม่จำเป็นต้องไปกังวลล่วงหน้าว่าเราจะทำอย่างไร จะคิดอย่างนี้ดีหรือไม่ดี ขอเพียงแต่ให้รู้ว่าเป็นนามธรรม ไม่ใช่เรา ถ้าคิดก็คือคิด กว่าเราจะชินกับความคิดว่า เป็นเพียงคิด มีปัจจัยก็คิด ความคิดก็เกิดขึ้น ไม่ซ้ำกัน ไม่เหมือนกัน แล้วแต่จะมีปัจจัยให้คิดอย่างไร ก็คิดอย่างนั้นเกิดขึ้น แล้วก็หมดไป

    เพราะฉะนั้น แม้ความคิดนั้นก็คือไม่ใช่เรา หนทางแรกคือไม่ใช่เรา เท่านั้นเอง ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า คิดก็เป็นเพียงชั่วขณะที่เกิดคิดอย่างนั้นแล้วก็หมดไป จะได้ไม่ต้องไปกังวล แล้วคราวหน้าพอโกรธขึ้นมาอีกเหมือนกับว่าไปเตรียมไว้ แต่ว่าจริงๆ แล้วจะคิดหรือไม่คิดอย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ได้ จะรู้ได้ต่อเมื่อเกิดแล้ว ทุกอย่างเราไม่มีทางจะรู้ได้เลย จะรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจึงรู้ว่า มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น แต่เมื่อดับไปแล้ว อะไรจะเกิดต่อ รู้ไม่ได้เลย แต่รู้เมื่อเกิดขึ้นอีก อะไรเกิดขึ้นก็เพราะว่ามีเหตุปัจจัย ถ้าบางครั้งคิดก็รู้ว่ามีปัจจัยที่จะคิด บางครั้งไม่คิด คราวนี้ทำไมไม่เหมือนคราวก่อน คราวก่อนเกิดโกรธก็พิจารณา คราวนี้ทำไมพอโกรธแล้วไม่พิจารณา ก็แล้วแต่ ก็เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ให้ไขว้เขวไปที่จะไปทำสิ่งที่เรายังไม่ถึง ที่จะไปไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ จะกันไว้ จะทำอะไรไว้ มันไม่ได้ทั้งนั้นเลย ให้เห็นความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น จึงจะไม่ใช่เรา มิฉะนั้นก็เป็นเราที่มีความคิดอย่างนี้ ยังเป็นอัตตาอยู่ เป็นเราที่ทำ เป็นเราที่คิด อย่างนั้นไม่ใช่การที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา แต่จะรู้ก็คือว่า คิดก็คือสภาพธรรมอย่างหนึ่ง พยายามที่จะ หมายความว่า อบรมความรู้ความเข้าใจให้ถูกต้องว่า เป็นธรรมแต่ละอย่าง ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เป็นธรรมแต่ละอย่าง

    แค่เห็นประโยชน์ก็มากพอที่จะสะสมไปข้างหน้า เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีการเห็นประโยชน์เลย เราคงจะไม่มานั่งกันเป็นชั่วโมงๆ แล้วคิดว่า สิ่งนี้มีค่ากว่าอย่างอื่น เพราะว่าคนเราจะทำอะไร จะทำสิ่งที่คิดว่ามีค่าที่สุด เป็นประโยชน์ที่สุดก่อนอย่างอื่น ใช่ไหมคะ และอันนี้จะเป็นการสะสม ซึ่งก็ไม่ใช่เรา แต่เมื่อสะสมมาที่จะสนใจ ที่จะฟัง ที่จะเข้าใจ เวลาที่ได้ยินได้ฟังธรรม เราก็สนใจอีก ฟังอีก สะสมต่อไปอีก

    เป็นลาภที่ประเสริฐกว่าลาภอย่างอื่น เรียกว่า ลาภานุตริยะ ลาภ คือศรัทธาในพระรัตนตรัย หายากกว่าลาภอื่น ต้องเป็นการสะสมของแต่ละคน ถ้าเรามีความเข้าใจธรรมจริงๆ แล้ว เอาอย่างอื่นมาแลก ยอมไหมคะ ทรัพย์สินเงินทอง ชื่อเสียง สรรเสริญ ไม่มีความหมายเลย เทียบกันไม่ได้เลย ที่จะกลับไปไม่รู้อีก ไม่เข้าใจอีก ไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้น นามธรรม รูปธรรม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่รู้ คงไม่มีใครยอม ก็แสดงว่ามีความมั่นคงขึ้นในศรัทธาในพระรัตนตรัย


    หมายเลข 9561
    20 ส.ค. 2567