อะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ และ ปัญญา


    สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๑๐


    ผู้ฟัง อาจารย์คะ อะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสติ และอะไรเป็นเหตุใกล้ให้เกิดปัญญา

    ท่านอาจารย์ เวลาที่สติยังไม่เกิด จะรู้เหตุใกล้ ได้ไหมคะ แต่พอสติเกิดรู้ไหมว่า ถ้าไม่มีการฟัง สติจะเกิดหรือเปล่า แล้วถ้าไม่มีการเข้าใจจากการฟังอย่างมั่นคง สติจะเกิดหรือเปล่า เพราะฉะนั้น คนนั้นจะรู้ด้วยตัวของตัวเอง ไม่ใช่เอาตำรามากาง มาหาซิว่าเหตุใกล้ของสติคืออะไร จะได้ไปสะสมเพิ่มพูนเหตุใกล้นั่น แต่จะเป็นการที่รู้ด้วยตัวเองทุกอย่าง เมื่อสภาพธรรมนั้นเกิด ก็จะสามารถรู้ถึงว่า อะไรเป็นเหตุให้สติสัมปชัญญะเกิด เป็นปกติ เพราะเหตุว่ามีการฟังแน่นอน แล้วไม่ใช่เพียงการฟังเฉยๆ ต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องที่จะไม่มีตัวตนที่จะทำ แล้วเป็นผู้ที่อาจหาญร่าเริงที่จะไม่ให้โลภะพาไป

    เพราะฉะนั้น เวลาที่สติสัมปชัญญะเกิด ก็รู้ว่า เหตุปัจจัยคือความมั่นคงในการเข้าใจว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็เป็นผู้ที่ไม่ถูกโลภะทำให้หวัง หรือรอ หรือคอย หรือทำอย่างอื่นโดยที่ไม่ใช่เหตุที่จะให้สติสัมปชัญญะเกิด เพราะว่ามิจฉามรรคมี เหมือนกันเลย แต่เป็นมิจฉาหมดทั้ง ๘ แล้วก็มิจฉัตตะ ความเป็นผิด ก็เพิ่มความรู้ผิดกับการพ้นผิด อีก ๒ อย่าง

    ถ้าวันนี้สติเกิด รู้เลยไหมคะ ฟังเข้าใจเป็นปัจจัยให้มีการระลึก ซึ่งสติสัมปชัญญะไม่ได้ยากเกินกว่าที่จะเป็นไปได้ เพราะว่าคนที่ไม่เข้าใจธรรมจะคิดว่า เขาบอกว่าขอให้ชาตินี้แค่สติปัฏฐานเกิดเพียงครั้งเดียวก็เอาละ แต่ว่าไม่เข้าใจ เขาหวังว่าเป็นอะไรสักอย่างซึ่งแสนที่ยาก พิเศษ แต่ความจริงถ้ารู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม นี่รู้ แล้ว แล้วก็ปกติธรรมดา เวลาที่ธรรมชนิดหนึ่งชนิดใดเกิดปรากฏ วิถีจิตทางมโนทวารที่ตามมาจะเป็นเรื่องไปเลย ต่อกันสนิทเลย เห็นคน เห็นไหมคะ แล้วก็วันนี้ทำอะไรบ้าง ก็เป็นเรื่องที่คิด จะจับ นี่ก็ยกถ้วยมาซิ อะไรๆ ก็เป็นบัญญัติหมดเลย คือเป็นเรื่องเป็นราวสืบต่อจากลักษณะของสภาพธรรม แต่สติปัฏฐานเพียงไม่ใช่ไปคิดอย่างนั้น เวลาที่อย่างแข็งปรากฏ วันนี้แข็งปรากฏกี่ครั้ง นับไม่ถ้วน เพราะมีกายปสาท แต่ไม่รู้เลยในลักษณะแข็งว่า เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น สติสัมปชัญญะ คือ เกิดระลึกตรงลักษณะที่แข็ง แทนที่จะระลึกเรื่องราว เป็นเรื่องเป็นราวไป ก็ระลึกคือรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งขณะที่แข็งปรากฏ อย่างอื่นไม่ได้ปรากฏเลย แล้วเราจะไปอยู่ตรงไหน ไม่มีอะไรปรากฏ มีแต่แข็งปรากฏ แล้วเราอยู่ตรงไหน ความจริงมันไม่มีเลย เพราะว่าจิตจะเกิดขึ้นเพียง ๑ ขณะ แต่ละทวาร เพราะขณะที่กำลังรู้แข็ง อย่างอื่นจะรวมอยู่หรือมีอยู่ตรงนั้นไม่ได้เลย เมื่อไรอบรมเจริญปัญญาจนรู้ว่าไม่มีตัว ไม่มีเรา มีแต่สภาพรู้กับแข็ง เมื่อนั้นคือความเห็นที่ถูกต้องที่ละความเป็นเราชั่วคราว ขณะที่ปัญญาสมบูรณ์ถึงระดับที่ว่าไม่มีเราเหลือเลย แต่ทีนี้ทั้งๆ ที่เราก็ไม่มี แข็งปรากฏ จริงๆ แล้วไม่มีเรา ใช่ไหมคะ แต่อัตตสัญญาจำไว้ว่ามี ทั้งๆ ที่ไม่มีก็จำไว้ว่ามี

    เพราะฉะนั้น อนัตตสัญญาตรงกันข้ามกับอัตตสัญญา ที่จะค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง ในลักษณะของสภาพที่กำลังปรากฏ พอระลึก แล้วรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ แม้น้อยนิดเดียว คนนั้นก็รู้ว่าต่างกับขณะที่หลงลืมสติทั้งวัน เพราะกำลังรู้ลักษณะของแข็ง แค่นั้นคือสติปัฏฐาน สติสัมปชัญญะ แต่ว่าไม่มีความจงใจ ตั้งใจ จะไปทำให้เกิดบ่อยๆ อยากให้เกิดมากๆ แต่ความรู้ทั้งหมดเพื่อละความไม่รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่หลงลืมสติ เพราะฉะนั้น ในขณะนั้นก็ประกอบทั้งสัมมาทิฏฐิ แล้วก็มรรคมีองค์อื่นตามปกติด้วย ก็เป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานเป็นผู้มีปกติ ปกติจริงๆ แล้วสติก็เกิดระลึกรู้ลักษณะเท่านั้นเอง ทุกอย่างมีลักษณะ วันนี้ทั้งวันลักษณะของธรรมทั้งนั้นเลย ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรม เราบอกว่าวันนี้เราโกรธ นั่นคือลักษณะของสภาพโกรธเกิดขึ้นปรากฏ แต่ไม่รู้ วันนี้เสียใจ ความรู้สึกโทมนัส ก็เป็นลักษณะของสภาพธรรมอย่างหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ แต่ถ้าสติเกิดระลึกก็รู้ในลักษณะนั้นว่า เป็นธรรมจริงๆ ลักษณะของความเสียใจก็เป็นธรรมอย่างหนึ่งมีจริงๆ ลักษณะของความดีใจก็เป็นธรรมอีกอย่าง มีจริงๆ แต่ว่าเนื่องจากในแสนโกฏิกัปป์มา แล้ว เราหลงลืมสติมากมายแค่ไหน แล้วเราเพิ่งมาฟังพระธรรม เพราะฉะนั้น กว่าเราจะค่อยๆ สะสมความรู้ลักษณะ การระลึกลักษณะของสภาพธรรม ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ตามปกติ มิฉะนั้น แล้วโลภะมาอีก แล้ว

    เพราะฉะนั้น หนทางนี้เป็นหนทางที่ต้องละโลภะ ถ้าไม่เห็นโลภะก็ละโลภะไม่ได้ เป็นทางที่เรียกว่า โลภะมาเมื่อไร แล้วก็พลาดไปทันที ผิดไปทันที พ้นจากหนทางนี้ไปทันที โดยไม่รู้ตัว มันก็เป็นทางที่ยาก ที่ลึกซึ้ง ที่ถ้าไม่มีความมั่นคงจริงๆ ก็ตามโลภะไปเรื่อยๆ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่า เป็นโลภะ คิดว่าได้เยอะเลย ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญา แต่สัมมาสติเป็นอย่างไรที่เป็นปกติ ไม่เคยรู้ ไปรู้อะไร จะมีประโยชน์เท่ากับรู้สิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ถูกต้อง เพราะทุกอย่างที่ปรากฏไม่มีใครทำ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยก็เกิดไม่ได้ ให้รู้ตรงนี้อย่างนี้ตามความเป็นจริง

    ก็เป็นเรื่องอดทน สมกับที่ได้ตรัสไว้ว่า ขันติเป็นตบะอย่างยิ่ง อดทนอะไรก็พอไหว บางคนบอกอดทนที่จะอบรมเจริญปัญญา อดทนตั้งนานแสนนาน เพราะว่าเป็นเรื่องอดทนที่จะไม่ตามโลภะ มิฉะนั้นโลภะก็สร้างเรือน คือสังสารวัฏฏ์ทุกภพทุกชาติ เกิด แล้วเกิดเล่า เกิด แล้วก็ตาย แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย แล้วก็เกิด แล้วก็ตาย ออกจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้ ซึ่งมันน่ากลัวมากว่า เราอยู่มานานเท่าไร แล้วจะอยู่ต่อไปอีกนานเท่าไร แล้วออกไม่ได้เลย อยู่อย่างนี้แหละ แต่นี่มีหนทางออก แต่ต้องเป็นหนทางที่อบรมเจริญปัญญาอย่างเดียว แล้วก็เห็นโลภะด้วยคือสมุทัย ทุกอย่างที่เป็นอริยสัจจะ ต้องเป็นปัญญาทั้งนั้นที่รู้ได้


    หมายเลข 9562
    20 ส.ค. 2567