ทราบว่า ไม่ใช่เป็นเรา ช่วยอะไรให้กับตัวเรา
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๑๑
คุณปีเตอร์ ผมยังมองไม่เห็นผลประโยชน์ที่ว่า ถ้าเกิดผมทราบว่าอันนั้นเป็นธรรม จริง แต่ว่าไม่ใช่เป็นเรา ช่วยอะไรให้กับตัวเราครับ
ส. คือคำถามของคุณปีเตอร์ว่า ธรรมก็เป็นธรรมนั่นแหละ เพราะฉะนั้นการที่จะรู้ว่าเป็นธรรม แล้วก็ยังเป็นเราอยู่ ก็ไม่เห็นจะต่างกัน รู้ว่าเป็นธรรม แต่ก็รู้ว่าเป็นเรา ก็จะมีอะไรที่ต่าง ต่างก็คือว่า ถ้ารู้ว่าเป็นเรา ผิดหรือถูก ทั้งๆ ที่เป็นธรรม แต่ถ้าคิดว่าธรรมเป็นเรา ความคิดว่าธรรมเป็นเรา ผิดหรือถูก ต้องผิด ใช่ไหมคะ
เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นผู้ที่ตรง คือรู้ว่าเป็นธรรม ก็ต้องไม่ใช่เรา รู้ว่าเป็นธรรมแล้วก็เห็นว่าเป็นเรา ก็ไม่เห็นเป็นอะไร จะถือธรรมว่าเป็นเรา ก็ไม่เห็นว่าเป็นอะไร จะมีอะไรที่ต่างกัน ใช่ไหมคะ ต่างกันตั้งแต่เริ่มต้น คือ ความเห็นถูกกับความเห็นผิด คนเราถ้าเห็นผิด วาจาก็ผิด คำพูดนี่ผิดแน่นอน การกระทำก็ผิด แต่ถ้าเห็นถูก คำพูดก็ถูก การกระทำก็ถูก ทุกอย่างจะถูกหมด ปัญญาคือความเห็นถูกจะไม่นำไปในทางผิด จะไม่นำไปในทางอกุศล แต่เห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง จากเมื่อไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมก็จะไม่ยึดถือในความเป็นเรา แต่ที่เราเดือดร้อนกันทุกวัน เพราะเรายึดถือธรรมว่าเป็นเรา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเพราะความยึดถือว่าเป็นเรา ทุกอย่างเพื่อเรา เพื่อคนอื่น หรือเพื่อเรา ลึกลงไปทุกอย่างเพื่อเราหรือเพื่อใคร
คุณปีเตอร์ ถ้าอย่างคนไทยพูดว่า ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง
ท่านอาจารย์ ถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง เป็นคนที่รู้เหตุหรือเปล่า เจริญเหตุหรือเปล่า
คุณปีเตอร์ คือไม่คิดอะไรเลย คนประเภทนี้
ท่านอาจารย์ แต่ไม่รู้อะไรเลย เพราะฉะนั้น นี่คนละทาง ทางนี้เป็นทางรู้ แต่รู้จริงๆ ว่าเป็นทางที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ยากมากที่จะละ เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆ อบรมเจริญเหตุคือ การละความไม่รู้จนกระทั่งค่อยๆ รู้ขึ้น แล้วปัญญาเขาก็ทำหน้าที่ของเขา เราทำอะไรไม่ได้เลย ไม่มีเรา มีสภาพธรรมที่เป็นกุศลกับอกุศล โลภะกับอโลภะเป็นเจตสิก โลภะก็ติดข้อง อโลภะเขาไม่ติดข้อง เขาสามารถสละได้ โทสะเขาก็หยาบกระด้าง อโทสะเขาก็อ่อนโยน มีเมตตาได้ เพราะฉะนั้น สภาพธรรม ๒ อย่าง ต่างกัน แล้วยิ่งปัญญากับอวิชชาแล้ว ยิ่งต่างกันมากเลย คือปัญญาสามารถที่จะเห็นถูกจนกระทั่งประจักษ์แจ้งความจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เป็นธรรมเพียงฟัง แต่เป็นธรรมโดยประจักษ์แจ้งว่า แท้ที่จริงแล้วเราหลงรักยึดถือติดข้องในธรรมว่า เป็นเรา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่เรา
เพราะฉะนั้น ความทุกข์จะมากมายสักแค่ไหน ตราบใดที่ยังมีเราอยู่ แต่ถ้ารู้จริงๆ ว่า ไม่ใช่เรา ก็เป็นธรรมที่เกิดแล้วก็ดับทั้งนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่ว่าจะสุข จะทุกข์ จะอะไรก็เป็นธรรมที่เกิดแล้วก็ดับ ความที่จะไปทำอะไรที่มันตรงกันข้ามกับความคิดเห็นถูกอย่างนี้ก็เป็นไปไม่ได้ แต่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่เพียงขั้นฟัง ต้องถึงขั้นประจักษ์แจ้ง
เพราะฉะนั้น การฟังของเราก็คือทราบว่า พระพุทธศาสนามี ๓ ขั้น ปริยัติ กำลังศึกษาเรื่องราว ฟังเรื่องราวของสภาพธรรม ทั้งๆ ที่ตัวจริงของธรรมก็กำลังเกิดดับตามเหตุตามปัจจัย แต่ไม่ประจักษ์การเกิดดับ ไม่ประจักษ์ว่าเป็นธรรม แต่รู้เข้าใจว่าเป็นธรรม แต่ยังไม่ประจักษ์ตัวธรรมแท้ว่า นี่แหละตัวนี้เป็นธรรม ตัวนั้นก็เป็นธรรม ทั้งหมดในวันหนึ่งๆ ก็คือธรรม อันนี้ยังไม่ประจักษ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเราพูดว่า ทุกอย่างเป็นธรรม เราจะหยุดเพียงแค่นี้ไม่ได้ หมายความว่าเรายังไม่ตรงต่อธรรม ถ้าเราตรงต่อธรรม คือ เราจะต้องอบรมเจริญปัญญาจนประจักษ์อย่างที่เราพูด
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการเรียนคือความเห็นที่ถูกต้อง แล้วจริงๆ เป็นเราหรือเปล่าคะ ไม่เป็นก็ต้องให้ตรง ให้ถึงอย่างนั้นได้ ถึงได้แน่นอน แต่ว่าไม่เร็วอย่างที่รีบร้อน แต่ต้องเป็นการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ พอปัญญาเกิดเราจะไม่รู้หรือคะว่า นี่เป็นความเห็นที่ถูก ความเข้าใจที่ถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะอะไร เพราะขณะนั้นมีสติแล้ว สติสัมปชัญญะ แน่นอน ที่กำลังเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ
คุณปีเตอร์ เป็นไปได้ไหม ถ้าเกิดเรายังคิดว่า เป็นเรา แต่ว่ารู้ ละความทุกข์ ความจริงเป็นไปได้ไหมครับ
ท่านอาจารย์ เป็นไปได้ขั้นคิดค่ะ
คุณปีเตอร์ ขั้นคิด
ท่านอาจารย์ ขั้นคิดเป็นไปได้ เพราะฉะนั้น มี ๓ ขั้น ขั้นฟังเข้าใจ แล้วก็ขั้นคิดไตร่ตรอง แล้วขั้นอบรมปัญญาถึงการประจักษ์แจ้งว่า ไม่ใช่เราจริงๆ แต่ละขั้นต้องอาศัยกัน ถ้าเราจะคิดเอง คิดไม่ออก เพราะเราไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เมื่อฟังแล้วเราคิดตาม พิจารณาได้ถูกต้อง แล้วอบรมจนกระทั่งสามารถประจักษ์แจ้งได้จริงๆ เป็นทีละขั้น ขั้นนี้ขั้นฟัง แล้วต่อไปก็ขั้นคิด แล้วต่อไปก็ขั้นเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ปรากฏให้เข้าใจ กำลังเห็นในสิ่งที่กำลังปรากฏ ปรากฏเพื่อให้เข้าใจให้ถูก แต่ถ้าไม่รู้ก็ปรากฏให้เข้าใจผิด
คุณปีเตอร์ พยายามให้เข้าใจถูกก็ได้ ไม่ได้คิดตาม
ท่านอาจารย์ บางทีเข้าใจถูกว่าอย่างไร
คุณปีเตอร์ ในสิ่งที่ความเคยชิน ที่เคยเห็นมา
ท่านอาจารย์ นั่นไม่ใช่ความเข้าใจถูกในสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่เรื่องราวอะไรเลย มีเรื่องอะไรในสิ่งที่ปรากฏบ้างคะ แต่พอคิดมี คุณปีเตอร์อ่านหนังสือพิมพ์ใช่ไหมคะ สีดำๆ ขาวๆ ทำไมเป็นประธานาธิบดี ทำไมเป็นอิรัก อิหร่าน ทำไมเป็นอะไรตั้งเยอะแยะ จากสีขาวๆ ดำๆ ตัวหนังสือเหลี่ยมๆ กลมๆ แค่นั้น เป็นเรื่องเป็นราวฉันใด ทางตากำลังเห็นก็เป็นอย่างนี้ แค่นี้กลายเป็นคนเป็นอะไรตั้งมากมาย เรื่องราว จากคิดทั้งนั้น แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็คือเข้าใจว่าอย่างไร เข้าใจอย่างไรในสิ่งที่ปรากฏ นั่นแหละถึงจะเรียกว่าบางคราวเข้าใจถูก ก็ต้องถูกตามความเป็นจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะส่วนใหญ่เราจะเอาความคิดของเราเข้าไปแทรก แล้วเอาตำรับตำราบางเล่มที่เราอ่าน หรือข้อความบางตอนที่เราได้รับฟัง แต่ว่าข้อความเหล่านั้นเป็นพระธรรมหรือเปล่า หรือว่าเป็นความคิดของแต่ละบุคคล ถ้าเป็นความคิดของแต่ละบุคคล ไม่มีทางที่จะเห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏ