อะไรเป็นเครื่องบอกว่า เราถูก หรือ เขาไม่ถูก
สนทนาธรรมที่สหรัฐอเมริกา ๒๑๓
ผู้ฟัง คนที่เขาศึกษาธรรมเป็นกลุ่มๆ เขาก็คิดว่าเขารู้ถูก อะไรจะเป็นเครื่องบอกว่าเราถูก เขาไม่ถูก
ท่านอาจารย์ ธรรมบอกค่ะ ธรรมที่กำลังปรากฏนี่แหละ บอกตั้งแต่คำแรกเลย ถ้ารู้จักธรรม รู้ว่าขณะนี้เป็นธรรม การรู้จักต้องรู้อะไร ขณะนี้เป็นธรรมที่ทุกคนเสียงเดียวกัน เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า ได้ยินเป็นธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้น เวลารู้จะรู้อะไร เวลาประจักษ์จะประจักษ์อะไร
ผู้ฟัง ทีนี้เราก็ไม่ประจักษ์สักทีค่ะ
ท่านอาจารย์ เรารู้หนทางไหมคะว่า ประจักษ์ไม่ใช่เราประจักษ์ แต่เป็นการอบรมเจริญปัญญาจนกว่าจะประจักษ์ ไม่ใช่เราประจักษ์ ไม่ใช่เราไปทำให้ประจักษ์ เพราะขณะนั้นเป็นเรา ไม่ใช่ธรรม เป็นเราไปแล้ว ทั้งๆ ที่เรียนว่า เป็นธรรม พอถึงเวลาอยากประจักษ์ก็เป็นเราไปเสียอีกแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ตรงตามความเป็นจริง
ในพระไตรปิฎก โลภธาตุ โทสธาตุ มัจฉริยธาตุ ทุกอย่างธาตุหมดแล้ว ปัญญารู้อย่างนั้นหรือเปล่า ถ้าปัญญาไม่รู้อย่างนั้น รู้อะไร ถ้ารู้อย่างอื่น จริงไหม หรือไม่จริง แล้วรู้เมื่อไร รู้เมื่อเกิดปรากฏ ถ้าไม่เกิดปรากฏ ไปรู้อะไรที่ไม่ปรากฏ มีสภาพธรรมเป็นเครื่องที่จะบอกได้ว่า ผิดหรือถูก ขณะนี้มีธรรม แต่ไม่อบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ธรรมที่ปรากฏ ๖ ทาง แล้วไปรู้อื่น ผิดหรือถูก การประจักษ์แจ้งไม่ใช่ปัญญาระดับขั้นฟัง และคิด สติปัฏฐานไม่ใช่การคิด เพราะขณะคิดเป็นธรรมที่คิด เป็นจิต เจตสิกที่คิด ไม่ใช่เป็นสติที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง มีคนบอกว่า อะไรๆ ก็รอเหตุปัจจัย เป็นคนขี้เกียจ ไม่ทำอะไร บ้างก็บอกว่า ทำอะไรสักอย่าง ถ้าไม่เช่นนั้น ก็เหมือนคนไม่พยายาม
ท่านอาจารย์ ขณะที่พูดอย่างนั้น เห็นสักกายทิฏฐิหรือเปล่าคะ ความเป็นตัวตน ความเป็นเรา เห็นไหม เรามีปัจจัยเพียงแค่ฟัง แล้วจะให้เรามีปัจจัยไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรม หรือ ในเมื่อปัญญาเรายังไม่ได้อบรมไปตามลำดับ จนกว่าจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมที่จะรู้ว่า หลงลืมสติต่างกับสติสัมปชัญญะอย่างไร ปัญญาระดับนี้ก็ไม่มีแล้ว แล้วจะให้เราไปรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่า เป็นเรารอ ไม่ใช่มีตัวเราที่รอ แต่เป็นความเข้าใจเรื่องของปัจจัยโดยถ่องแท้ว่า ทุกอย่างต้องเกิดเพราะเหตุปัจจัยแน่นอน แล้วอย่างนี้ผิดหรือถูก แล้วจะศึกษาเรื่องปัจจัยทำไม จะกล่าวเรื่องปัจจัยทำไม ถ้าไม่เข้าใจปัจจัยของขณะนี้
ถ้าสติสัมปชัญญะเกิดก็รู้ว่า ต้องมีเหตุปัจจัย คือเพื่อที่จะไม่มีเราจนกระทั่งประจักษ์แจ้งว่า ไม่มีเราเหมือนอย่างที่บอกว่า ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ เราอยู่ตรงไหน ไม่มีอะไรปรากฏเลย เวลาแข็งปรากฏ เราอยู่ที่ไหน มีแต่แข็ง กับสิ่งที่กำลังปรากฏ มีแข็งกับรู้แข็งเท่านั้นจริงๆ ตรงนั้น เราตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้ามีไหม ขณะที่แข็งกำลังปรากฏ ต้องไม่มี นี่ถึงจะเป็นความเห็นถูก แต่ถ้ามีอยู่เพราะอัตตสัญญา ยังจำไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อความจริงคือไม่มี การประจักษ์แจ้งคือต้องไม่มี เพราะฉะนั้น จึงจะละคลายความเป็นเราได้ เพราะไม่มีอะไรเหลือ มีแต่รู้แข็งกับแข็ง แล้วอันไหนเป็นเรา
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นความพยายามชอบในมรรคมีองค์ ๘
ท่านอาจารย์ เขาเกิดเองกับสัมมาสติ สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ ไม่ใช่มีเราต่างหากไปทำความเพียรชอบขึ้นมาอีกอันหนึ่ง ด้วยความเป็นเรา ถ้าด้วยความเป็นเรา ไม่มีทางละเรา แล้วก็ไม่ใช่มรรคด้วย ไม่ใช่หนทางด้วย แล้วอย่างนั้นก็ไม่ลึกซึ้งด้วย จะลึกซึ้งอย่างไร ของธรรมดาๆ นี่แหละลึกซึ้ง คือขณะที่แข็งปรากฏ อย่างอื่นไม่ปรากฏ ถูก แล้วเมื่อไร จะประจักษ์อย่างนี้ ทางมโนทวารไม่มีอะไรเลย นอกจากแข็งกับสภาพที่รู้แข็ง ตรงทุกอย่างกับความเป็นจริง