ธรรมไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ
ท่านอาจารย์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้อย่างนี้ จึงได้ทรงแสดงอย่างนี้ ถ้าไม่ตรัสรู้อย่างนี้ แสดงอย่างนี้ไม่ได้เลย มีใคร นักวิทยาศาสตร์คนไหน ที่จะแสดงว่า ขณะนี้ทุกอย่างเกิดดับทั้งนั้นเลยอย่างรวดเร็วที่สุด แข็งกับเห็น อะไรดับเร็วกว่ากัน
ผู้ฟัง ดับเท่ากัน
ท่านอาจารย์ อันนี้เป็นความคิด บางคนอาจจะคิดว่าดับเท่ากัน บางคนอาจจะคิดว่าเห็นดับเร็วกว่า บางคนอาจจะคิดว่าแข็งดับเร็วกว่า คือเรื่องของความคิด ไม่มีหลัก ต่างคนต่างคิด แต่การตรัสรู้ธรรม เปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมได้ ลองคิดถึงว่า แข็งก็ยังปรากฏ ยังหยาบพอที่จะกระทบสัมผัสได้ แต่เห็นเป็นสภาพของนามธรรม เป็นธาตุรู้ที่เห็น เหมือนอย่างกำลังแข็ง แข็งเป็นรูป แต่สภาพที่กำลังรู้ว่าแข็ง รู้ลักษณะที่แข็ง แข็งจึงปรากฏว่าแข็ง เมื่อมีการกระทบแล้วรู้ลักษณะที่แข็ง แข็งจึงปรากฏ การตรัสรู้ และทรงแสดง ทรงแสดงว่านามธรรมดับเร็วกว่ารูปธรรม เพราะว่าเป็นสภาพที่ละเอียดกว่า ไม่มีรูปร่างสัณฐานใดๆ เลย คือเราได้ยินคำว่ารูปธรรม ในภาษาไทยแล้วก็ใช้ผิด อย่างตอนนี้อะไรๆ ก็ยังไม่เป็นรูปธรรม ถ้าพูดถึงโครงการหรืองาน หรืออะไรสักอย่างที่คิดกันแล้วยังไม่เป็นรูปร่าง จะใช้คำว่าไม่เป็นรูปธรรม แต่รูปธรรมจริงๆ ในทางพระพุทธศาสนา หมายความว่าสภาพสิ่งที่มีจริงนั้นไม่สามารถที่จะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไม่ใช่สภาพรู้ ลักษณะของสิ่งที่มีจริง จะมองเห็น หรือมองไม่เห็นก็ตามแต่ แต่ถ้าลักษณะนั้นไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ลักษณะนั้นเป็นรูปธรรม
เพราะฉะนั้น ธรรมคำเดียว หรือทุกอย่างที่เป็นธรรม ก็ยังต้องแยกออก เป็นลักษณะที่ต่างกัน ๒ อย่าง แล้วก็ยังแยกหลากหลายไปอีก แต่ประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่างก็คือสภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ส่วนสภาพธรรมอีกอย่างเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ เมื่อเกิดธาตุชนิดนี้ขึ้น ธาตุชนิดนี้ต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด จะเกิดมาโดยไม่รู้ ไม่เห็น ไม่คิด ไม่นึก ไม่อะไรไม่ได้เลย นี่คือสภาพของนามธาตุซึ่งเป็นธาตุรู้
เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าธาตุรู้จะมีอยู่ทุกวัน เราก็ไม่เคยรู้ในความจริงว่า ความรู้ต่างๆ ความรู้สึก การคิดเห็นต่างๆ ว่า พวกนี้เป็นธรรมที่มีจริง แล้วก็เป็นนามธรรม เป็นธาตุชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อเกิดแล้วต้องรู้
เพราะฉะนั้น ก็มี ๒ อย่าง นามธรรมกับรูปธรรม รูปธรรมไม่รู้อะไรเลย แต่นามธรรมต้องรู้ทุกครั้งที่เกิดขึ้น จะเกิดแล้วไม่รู้อะไรไม่ได้เลย อย่างได้ยินเป็นนามธรรมที่รู้เสียง หรือได้ยินเสียง เสียงเป็นรูป แต่สภาพที่ได้ยินมีจริงๆ สภาพนั้นเป็นนามธรรม เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังได้ยิน ก็ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น มีแต่ธาตุชนิดหนึ่งซึ่งสามารถรู้เมื่อเกิดแล้วขณะนั้น เพราะมีเสียงกระทบ ก็ทำให้รู้เสียง หรือการได้ยินเกิดขึ้น ก็เป็นนามธรรมกับรูปธรรมตลอด
ถ้าศึกษาธรรมก็รู้ว่า ธรรมก็คือสิ่งที่มีจริงๆ ก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมเป็นอย่างนี้หรือเปล่าคะ มีจริงๆ เกิดดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนลักษณะของสภาพธรรมได้เลย แต่เมื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ก็คือตรัสรู้ความจริงของธรรม เพราะฉะนั้น ใช้คำว่า “ทรงแสดงธรรม” คือทรงแสดงความจริงของธรรม ให้คนอื่นได้เข้าใจถูกได้รู้ตาม จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ เป็นผู้ที่สามารถที่จะละอกุศลทั้งหลายได้ อกุศลทั้งหลายเกิดจากความไม่รู้
นี่คือสิ่งที่เราเอง เราคงจะได้กราบไหว้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือว่าบางคนก็อาจจะกราบพระพุทธรูป เพราะว่าไม่รู้ว่า พระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แล้วรูปเป็นแต่เพียงเครื่องเตือนให้ระลึกถึงพระคุณ เพราะฉะนั้น แม้แต่พระพุทธรูปหรือการกราบไหว้ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ เราก็กราบไหว้สิ่งที่เราคิดว่าหรือเชื่อว่า เป็นพระพุทธรูป แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่เตือนให้ระลึกถึงพระคุณ เพราะถ้าไม่รู้จักพระคุณ พระพุทธเจ้าจะมีความหมายไหมคะ ชื่อเท่านั้นเอง เรียกเท่านั้นเอง แต่คุณความดีอยู่ที่ไหน
เพราะฉะนั้น คุณความดีต้องทั้งพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ตรัสรู้ธรรม คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะปรินิพพานไปแล้ว ธรรมก็ยังคงเป็นธรรม คำสอนอันตรธานหมดไปแล้ว ธรรมก็ยังคงเป็นธรรม แต่ไม่มีใครรู้ความจริงของธรรม จนกว่าจะมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไปตรัสรู้แล้วทรงแสดง เมื่อนั้นคนที่สะสมบุญมาแล้วก็มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง แล้วก็พิจารณาไตร่ตรอง อบรมเจริญปัญญาจนประจักษ์แจ้งได้ ประจักษ์แจ้งคือขณะนี้ไม่มีเรา แต่เป็นธรรมซึ่งปรากฏในลักษณะของความเป็นธาตุรู้ เป็นนามธรรม กับสภาพซึ่งไม่ใช่ธาตุรู้ ซึ่งเป็นรูปธรรม ยากไหมคะ
ผู้ฟัง ยากนิดหน่อย
ท่านอาจารย์ ขณะใดที่กล่าวว่ายาก ขณะนั้นกำลังสรรเสริญพระปัญญาคุณ ถ้าง่ายไม่ต้องทรงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ทุกครั้งที่กล่าวว่ายาก ก็คือเพราะเห็นพระปัญญาคุณ แล้วก็สรรเสริญพระปัญญาคุณ ได้ยินได้ฟังธรรม บางคนก็คิดว่า รู้ธรรมแล้ว แต่พอฟังจริงๆ ต้องรู้เลยว่า ตั้งต้นจากศูนย์ คือไม่รู้ เราเคยเพียงอ่านหนังสือบางเล่ม แล้วเราก็คิด เพราะว่า ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เราคิดทั้งนั้นเลย คิดว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ ให้เราทำอย่างนี้อย่างนั้น แต่พอศึกษาแล้วถึงจะทราบได้จริงๆ ว่า พระไตรปิฎกทั้งหมดทรงแสดงด้วยพระมหากรุณาที่จะให้คนรุ่นเราเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะว่าถ้าเป็นรุ่นในกาลสมบัติ สมัยที่ตรัสรู้ มีท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ พระอัครสาวก พวกนี้ท่านอบรมปัญญามา เพียงแค่พูดอย่างนี้ ท่านเข้าใจลักษณะที่เป็นธรรมทันที สามารถจะละความไม่รู้ ความสงสัย ประจักษ์ความจริงที่จะกำลังเกิดดับได้ทันที แต่ว่าถ้าเป็นสมัยนี้ต้องศึกษามาก แล้วก็ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด รอบคอบที่จะไม่เข้าใจผิด