ยังมีเรา ที่ต้องการประโยชน์จากธรรม


    ผู้ฟัง เรียนถามท่านอาจารย์ ทุกๆ คนคงจะผ่านความทุกข์ ความพลัดพราก แล้วในเมื่อเราได้พบความทุกข์ ความพลัดพราก ท่านอาจารย์จะให้คำแนะนำว่า ควรจะพิจาณา

    ท่านอาจารย์ พิจารณาสภาพธรรมจนกว่าจะไม่มีเรา ถ้าสามารถจะทำให้ใครไม่ร้องไห้ ไม่เป็นทุกข์ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร ใครฟัง ใครร้องไห้ เพราะอะไร แล้วจะให้เขาพิจารณาอย่างไร ทุกคนเวลานี้กำลังคิดเองทั้งนั้นเลย บอกไปให้คนอื่นคิด เขาจะคิดอย่างที่เราบอกได้ไหม เขาคิดเองจากการฟัง แม้แต่ใจของแต่ละคนจะคิดก็คิดเองจากสัญญา จากความจำ จากสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จากสติ จากศรัทธา จากหิริ จากโอตตัปปะ อะไรทั้งหมดที่ฟังแล้วค่อยๆ ปรุงแต่งจนกระทั่งค่อยๆ เป็นความคิดของแต่ละคน ไม่ใช่ว่าเราจะบอกให้เขาคิดอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้

    ผู้ฟัง เป็นธรรมในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ต้องศึกษาเพื่อเข้าใจธรรม แล้วในเมื่อได้พบเหตุการณ์เสียใจบ้าง พลัดพรากบ้าง จากการที่ได้ศึกษาก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สามารถที่จะระลึกถึงธรรมได้มากขึ้น ก็อาจจะทำให้ไม่เสียใจมากกว่าที่ควรจะเป็น

    ท่านอาจารย์ อ่านพระสูตรบทเดียวกัน ความเข้าใจของคนเท่ากันหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ไม่เท่ากัน

    ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ถ้าจะเอาอะไรมาพูดที่นี่ ขึ้นอยู่กับผู้ฟังหรือเปล่าว่า บทนี้ตอนนี้จะช่วยใครได้มากน้อยแค่ไหน ก็ต้องแล้วแต่ แต่อย่างไรๆ ก็ตามก็ต้องมีความเห็นความเข้าใจธรรมโดยไม่ต้องไปคิดว่า เราเอามาใช้ประโยชน์ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยังมีเราที่ต้องการประโยชน์จากธรรม เรียนธรรมเหมือนกับเรียนอะไรๆ ที่วิเศษ พิเศษสุดที่จะทำให้เราได้ประโยชน์ นั่นก็ไม่ใช่ประโยชน์ที่แท้จริง ไม่ใช่จุดประสงค์ของการศึกษาธรรม จุดประสงค์ของการศึกษาธรรม คือ ศึกษาสิ่งที่เราไม่รู้ และไม่สามารถจะรู้ด้วยตัวเอง แล้วมีใครที่จะช่วยให้เรารู้ได้ มีผู้เดียวคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ได้จากพระธรรมที่ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรม เพราะรู้ว่าตัวเองไม่รู้ และจะรู้ได้จากใคร ก็คือศึกษาธรรมจากผู้นั้น คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่เพื่อศึกษาแล้วเราจะเอาไปใช้อย่างนั้น เอามาเป็นประโยชน์อย่างนี้ หรือไม่ให้ร้องไห้ ไม่ให้เกิดทุกข์ ไม่ใช่อย่างนั้น นั่นคือศึกษาด้วยความหวัง ด้วยความเป็นเรา ด้วยความเป็นตัวตน

    ผู้ฟัง ก็เคยพบกับความเสียใจ เมื่อได้พบกับการพลัดพราก เมื่อคุณพ่อเสีย คุณแม่เสีย ก็เสียใจ ทั้งๆ ที่ตอนนั้นก็คือศึกษาธรรมแล้ว ฟังท่านอาจารย์มาหลายปีแล้ว ก็ยังเสียใจ อันนี้ก็แสดงว่า ความคิดในการศึกษาธรรมนั้นยังไม่ตรงหรือยังไม่ถูก หรืออย่างไรคะ ท่านอาจารย์คะ

    ท่านอาจารย์ ถ้าศึกษาแบบที่ว่าก็คือศึกษาเพื่อที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ ใช่ไหมคะ ดิฉันเอง ตอนที่คุณพ่อเสีย ดิฉันก็ร้องไห้ ทำไมถึงจะต้องไปคิดว่า แล้วเราจะทำอย่างไร เราถึงจะเอาบทไหนขึ้นมาพลิกอ่าน หรือจะมาคิดถึงอะไร ไม่ใช่อย่างนั้นเลย ธรรมไม่ใช่อย่างนั้น ธรรมก็คือเมื่อไรที่มีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา อนัตตา คือ ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนเลย ถ้าเกิดเสียใจ มีเหตุปัจจัยที่ทำให้เสียใจเกิด ห้ามเสียใจไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเกิดแล้ว

    ผู้ฟัง ทีนี้หมายถึงว่าจะห้ามความเสียใจ แต่ว่าในเมื่อเสียใจขึ้นมา ร้องไห้ โทมนัส หมายความว่าการศึกษาธรรมที่ศึกษามา แม้จะหลายปีนั้นก็ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

    ท่านอาจารย์ เป็นผู้ตรงค่ะ ใครไม่ร้องให้

    ผู้ฟัง พระอนาคามี

    ท่านอาจารย์ นั่นน่ะสิคะ พออย่างนี้ตอบได้ แต่พอถึงเวลา ทำอย่างไรเราจะไม่ร้องไห้ จะมาได้อย่างไร ในเมื่อเป็นพระอนาคามีหรือเปล่า ถ้าไม่เป็นก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วค่ะ


    หมายเลข 9576
    18 ส.ค. 2567