ปัญญาจริงๆต้องรู้อะไร
ผู้ฟัง เมื่อกี้ท่านอาจารย์พูดถึง การที่จะเอาเราออก ท่านอาจารย์หมายถึงชั่วขณะที่เรามีสติพิจารณาลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏอยู่ในขณะนั้น ซึ่งเป็นเพียงแค่ขณะเดียว เพราะฉะนั้นตรงนั้นคือการที่จะเอาตัวตนออกมาเพียงชั่วขณะนั้น เท่านั้นใช่ไหมคะ ที่อาจารย์พูดถึงเมื่อกี้นี้
ท่านอาจารย์ ต้องเป็นปัญญาที่เจริญขึ้น เพราะว่าขณะนั้นเป็นปัญญาระดับไหน ที่ว่า มรรคมีองค์ ๘ จะขาดสัมมาสติไม่ได้เลย จะขาดสัมมาทิฏฐิไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ ต้องมีความเห็นถูก ถ้าไม่มีความเห็นถูกว่า มีลักษณะของสภาพธรรม สติก็ไม่เกิด แล้วก็ไม่ระลึกลักษณะนั้น เพราะฉะนั้น ชั่วขณะที่สติเกิดแล้วก็มีลักษณะนั้นกำลังเป็นอารมณ์ กำลังใส่ใจที่จะศึกษา ปัญญาตรงนั้นเราจะรู้เลยว่าระดับไหน
ผู้ฟัง ท่านอาจารย์ครับ จากการที่กุศลหรืออกุศลของเราเกิดวันๆ หนึ่ง แล้วเราก็พอจะรู้ได้ว่า อะไรมันเกิดมากกว่ากัน แล้วอย่างนี้เราก็คงจะเดาอนาคตเราได้ว่า น่าจะมีสิทธิไปอบายมากกว่าไปสุคตินี้ ใช่ไหมครับ เพราะว่าวันๆ หนึ่งกุศลเกิดน้อยมาก
ท่านอาจารย์ ที่เรารอดมาเกิดภูมินี้ได้ มาอย่างไรคะ
ผู้ฟัง ก็มาเพราะผลของกุศล
ท่านอาจารย์ ใช่ เพราะฉะนั้น ก็ทำกุศลไป และไม่ประมาท เพราะว่าถ้ายังไม่เป็นพระโสดาบันก็ยังมีโอกาสที่จะเกิดในอบายภูมิ
ผู้ฟัง สูงมาก
ท่านอาจารย์ ก็ไม่ประมาท ก็เรายังมาได้ ก็เราทำกุศลต่อไปสิคะ มาแล้วนี่ ก็ทำดีต่อไปอีก เพราะฉะนั้น น่ากลัวอกุศลมากเลย แล้วน่ากลัวอกุศลกรรมด้วย ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามต้องรู้ว่าอันตราย
ผู้ฟัง แล้วอย่างที่พี่สุภัสสรว่า วันๆ หนึ่งมีแต่ทุกข์ ถ้าเผื่อเกิดถูกหวยสักร้อยล้าน สิบล้าน ก็ไม่เห็นจะทุกข์เลย หรือว่าได้กินของอร่อยๆ ดูหนังแบบสนุกๆ อะไรอย่างนี้ ไม่เห็นความทุกข์เลย
ท่านอาจารย์ ตอนนั้นลืมคิด
ผู้ฟัง ตอนนั้นไม่ได้คิด แต่จริงๆ แล้วพอมันหมดไปแล้ว มันก็เริ่มรู้แล้วว่า มันไม่ใช่สุข เป็นทุกข์ ทีนี้จะแป๊บเดียวมันก็หาย ไม่ค่ะ ไม่ใช่ กำลังเล่าให้ฟังว่า จริงๆ แล้วดีใจแป๊บเดียว แล้วก็หมดแล้ว
ผู้ฟัง ก็ยังมีสุขด้วย
ผู้ฟัง ก็มี
ผู้ฟัง แสดงว่าโลกนี้ก็ยังไม่โหดร้ายทีเดียว ก็ยังน่าอยู่
ท่านอาจารย์ ขอโทษค่ะ คือว่า ในโลกของเรา เรามีทุกข์ และสุขด้วยความไม่รู้ เราจะไปบังคับให้เรามีแต่ทุกข์ทั้งวัน เป็นไปไม่ได้ หรือเราจะบังคับให้เรามีสุขทั้งวัน ก็เป็นไปไม่ได้ ต้องตามเหตุตามปัจจัย อะไรจะเกิดก็คือรู้ความจริงว่า มีปัจจัย เป็นอนัตตา เราบังคับบัญชาไม่ได้ แล้วก็ต้องรู้ด้วยว่า ต่อให้ไปคิดว่าเป็นทุกข์ ก็ไม่ใช่การรู้ทุกข์ ไม่อย่างนั้นเราก็จะไปนั่งคิดแต่เรื่องทุกข์ อย่างนั่งนี้ก็เมื่อย เอาละ เดี๋ยวก็หิว มันก็เป็นเรื่องที่มันไม่จำเป็นที่จะต้องไปทำอย่างนั้น หรือคิดอย่างนั้น แต่ที่จะต้องอบรมก็คือว่า ปัญญารู้ลักษณะของสภาพธรรม เราใช้คำว่า “ธรรม” แล้วธรรมแต่ละอย่าง เขาก็มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะฉะนั้น สามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะนั้น คือขณะที่สภาพนั้นปรากฏ รู้ลักษณะนั้น ขณะที่สภาพนั้นปรากฏ ขณะนั้นคือสติที่เกิด
ผู้ฟัง นั้นก็แสดงว่าขณะที่รู้ทุกข์นั้นเป็นโสมนัสเวทนา หรืออุเบกขาเวทนา ไม่ใช่เป็นโทมนัสเวทนา
ท่านอาจารย์ แน่นอน ถ้าเป็นปัญญาแล้วไม่เกิดกับโทมนัสแน่ ถ้าเป็นปัญญา
ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าจะมีทุกข์เวทนาด้วย แต่ว่าขณะเกิดที่รู้ทุกข์เป็นอุเบกขาหรือโสมนัส
ท่านอาจารย์ กุศลจะไม่เกิดกับโทมนัส กุศลจะเกิดกับโสมนัสหรืออุเบกขา นี่ไงคะเราถึงจะต้องเรียน ถ้าไม่เรียนเราก็สับสน
ผู้ฟัง อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่การเจริญสติปัฏฐาน อาจารย์คิดว่า ถ้าเกิดสติปัฏฐานเกิดหรือว่าไม่เกิด ความคิดเขาอาจเปลี่ยนแปลงไปได้หรือเปล่า
ท่านอาจารย์ คือว่าการฟังธรรมแต่ละคนจะเข้าใจแค่ไหน อย่างไร ถูกหรือผิดเป็นเรื่องที่เราจะรู้ได้จากการกระทำ และคำพูด เพราะว่าถ้าเป็นความเห็นถูกก็ต้องสอดคล้อง ตั้งแต่ต้น จะต้องมีการเข้าใจถูกต้องว่า ขณะนี้มีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจริงๆ แล้วปัญญาไม่สามารถจะรู้หรือ ถ้าปัญญาไม่สามารถจะรู้สภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนี้ แล้วปัญญาจะไปรู้อะไร เพราะฉะนั้น ปัญญาจริงๆ ต้องรู้อะไร ในเมื่อสิ่งนี้เผชิญหน้าอยู่ แล้วหนทางที่จะรู้ก็ทรงแสดงไว้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้หรือเปล่า เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วทรงแสดงหนทางให้ผู้อื่นรู้ด้วยหรือเปล่า ท่านพระอัญญาโกณฑัญญะรู้หรือเปล่า พระอริยสาวกทั้งหลายรู้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น หนทางคือสติปัฏฐาน เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ ก็ต้องศึกษาให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น เรามีความรู้ของเราแค่ไหน แล้วเราก็จะรู้ได้ว่า ถ้าเป็นความเห็นที่ไม่ถูกหรือไม่ตรง ก็จะเป็นอีกอย่างหนึ่ง แต่ลองพิจารณาว่าขณะนี้มีสภาพธรรมจริงๆ แล้วความไม่รู้ก็มีจริงๆ และความรู้ก็มีจริงๆ ได้ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีแต่ความไม่รู้ไปตลอด หรือว่าใครๆ ก็สามารถจะมีปัญญาโดยที่ว่าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษา ไม่ได้อบรม แต่สิ่งที่มีจริงนี้แหละ ความไม่รู้คืออย่างไร ความรู้คืออย่างไร ในสิ่งที่กำลังปรากฏ