ศึกษาตัวจริง ไม่ใช่ชื่อหรือเรื่องราว


    ผู้ฟัง อาจารย์ครับ ถ้าคนที่สติปัฏฐานเขาเกิดแล้ว เขาจะมีโอกาสที่จะเบี่ยงเบนไป หันเหไปปฏิบัติหรือนับถือลัทธิอื่นอีกไหมครับ

    ท่านอาจารย์ ไม่เป็นอย่างนั้นค่ะ ถ้าสติปัฏฐานเกิด หมายความว่าก่อนจะรู้เรื่องสติปัฏฐาน ต้องมีการพิจารณาเข้าใจลักษณะของสติ แล้วก็สติที่เป็นขั้นทาน ขั้นศีล ไม่ใช่สติสัมปชัญญะ ในขณะที่ให้ทานครั้งหนึ่ง มีทั้งศรัทธา มีทั้งสติ มีทั้งหิริ มีทั้งโอตตัปปะ มีอโลภะ มีอโทสะ มีอโมหะ มีตัตตรมัชฌัตตตา มีเจตสิกอีกที่จะต้องเกิดอีกถึง ๑๙ ประเภท ในขณะที่กุศลจิตเกิดขณะหนึ่งๆ ทั้งๆ ที่ทุกคนก็ให้ทาน วิรัติทุจริตเป็นประจำ แต่ไม่เคยรู้สภาพจิตขณะนั้นว่า เป็นจิตที่ต่างจากอกุศล เพราะอะไร เพราะว่ามีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย

    เพราะฉะนั้นต้องมีการฟัง แล้วต้องการเข้าใจความต่างของสติกับ สติสัมปชัญญะ ถ้าไม่เข้าใจตรงนี้ สติปัฏฐานก็ไม่เกิด แล้วเมื่อมีความเข้าใจถึงระดับที่ปรุงแต่งให้มีการระลึก สติปัฏฐานต้องมีสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่สติปัฏฐานลอยๆ เปล่าๆ ที่ไปรู้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใด แต่ปกติสติปัฏฐานจะต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูก มีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวายามะ มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ ๕ เจตสิกนี้ต้องมีในที่นั้น ขาดไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาที่สัมมาสติเกิด ปัญญาถึงแม้ว่าจะน้อยสักเท่าไร แต่ก็ยังรู้ความต่างของขณะที่หลงลืมสติกับขณะที่สติเกิด

    เพราะฉะนั้นนี่จึงจะเป็นสติปัฏฐาน ไม่ใช่ว่าเรียกชื่อ สติปัฏฐาน คนนี้เข้าใจสติปัฏฐานไหม คนนั้นสติปัฏฐานเคยเกิดหรือเปล่า แต่ว่าสติปัฏฐานเกิดต้องมีปัญญาก่อนนั้นที่จะรู้เรื่องของสติปัฏฐาน และแม้ในขณะนั้นก็ต้องมีปัญญาที่รู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่ขณะที่หลงลืมสติ แต่ตัวสภาพธรรมกว่าจะรู้ กว่าจะค่อย ๆ ประจักษ์ ศึกษา สิกขา เราจะรู้เลย การศึกษาก่อนๆ ฟังเรื่องราว แต่การศึกษาคือค่อยๆ เข้าใจลักษณะที่เป็นสภาพรู้ที่กำลังรู้ แล้วก็ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเหมือนเดิม เป็นปกติ คือไม่สามารถจะรู้อะไรได้ ปัญญาค่อยๆ เห็นความต่าง ค่อยๆ รู้ในลักษณะของความเป็นธาตุรู้ ซึ่งมีจริงๆ เพราะว่าขณะนั้นกำลังรู้แข็ง หรือว่ากำลังรู้เสียง เพราะฉะนั้น ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นธาตุรู้ หรือนามธาตุ คนนั้นก็จะรู้ว่า นี่คือสิ่งที่จะต้องศึกษา สิ่งที่จะต้องเข้าใจขึ้นๆ จนกระทั่งถึงความเป็นพระอรหันต์ เป็นเสกขบุคคล ก็ต้องศึกษาสิ่งต่างๆ เหล่านี้นั่นเอง ไม่ใช่ศึกษาสิ่งอื่น มีสิ่งนี้ให้ศึกษาตัวจริง ไม่ใช่ศึกษาเพียงชื่อ หรือเรื่องราว

    เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ว่า วิชาการอื่นทั้งหมด ทั้งทางโลก ทั้งเรื่องของวิทยาศาสตร์ แพทยศาสตร์ อะไรทั้งหมด รวมทั้งเรื่องของสภาพธรรม เป็นการศึกษาเรื่องราว แต่ตัวจริงของธรรม ไม่มีใครรู้ ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด แล้วก็ไม่รู้ลักษณะของสภาพนั้นทีละอย่างๆ ๆ จนกระทั่งรู้ว่า ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ก็ไม่มีหนทางที่จะรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม แล้วถ้าไม่รู้ลักษณะที่เป็นนามธรรม รูปธรรม ก็ยังเป็นเรา อย่างไรๆ ที่คิดก็ต้องเป็นเรา ทำอะไรทั้งหมดก็ต้องเป็นเรา

    ผู้ฟัง ถึงแม้ว่าในสมัยก่อนเขาจะสามารถอธิบายให้เราเห็นว่า นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม แตกต่างกันอย่างไร นั่นก็เป็นแค่เรื่องราวที่เขาอธิบายให้ฟัง

    ท่านอาจารย์ ถูกต้อง ถูกต้อง ที่คนฟังต้องฟังแล้วรู้ว่า ขณะนี้สภาพธรรมมี อย่างเห็นมีใครต้องไปบอกอะไรหรือเปล่าคะว่า เป็นนาม เป็นรูป ต้องเรียกชื่อว่าเห็นไหมคะ ไม่เรียกชื่อเห็น เห็นก็ทำหน้าที่เห็น นามธรรมเกิดขึ้นต้องรู้ คือ มองเห็น เวลาที่ได้ยินเสียง นามธรรมก็ต้องเกิดขึ้นได้ยินคือรู้เสียงว่า เสียงนั้นมีลักษณะอย่างนั้นๆ กำลังรู้ลักษณะของเสียงนั้น ไม่ใช่เพียงคิดว่า เสียง คงจะเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ค่ะ เสียงจริงๆ ไม่ต้องคิดเลย สภาพของนามธรรม กำลังได้ยินเสียงนั้นชัดเจน เพราะฉะนั้น ก็รู้ว่าลักษณะของสภาพรู้ขณะนั้นไม่ใช่เรา เป็นแต่เพียงธาตุหรือสภาพธรรมที่มีจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีนามรูปปริจเฉทญาณ ไม่มีวิปัสสนาญาณ ที่สามารถจะเห็นเมื่อปัญญาเจริญสมบูรณ์ ถึงกาลที่จะประจักษ์แจ้ง

    ผู้ฟัง ขอบพระคุณครับ


    หมายเลข 9582
    18 ส.ค. 2567