เพราะมีธรรมจึงมี ๓ ปิฎก (ตอนที่ ๑)


    ได้ทราบว่าทุกท่านที่นี้ก็เป็นผู้ที่อยู่ในวงของการศึกษา แล้วก็สังคม เกี่ยวกับเรื่องของจริยศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นมากที่เราจะต้องเป็นผู้ที่ตรง คือว่ามีความเข้าใจในสิ่งที่เราทำงานหรือร่วมงานในด้านนี้ คือในด้านจริยศึกษา จะเห็นได้ว่า เราก็มีพุทธศาสนาในหนังสือศีลธรรมตอนเป็นเด็ก ไม่ทราบสมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่า หรือว่าต่อไปจะมีหรือเปล่า ก็ไม่ทราบ แต่ว่าทุกชีวิตจะขาดจริยศึกษาไม่ได้ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ดีงามของสังคม ถ้าสังคมไม่มีการประพฤติที่ดีงามทางใจ ทางวาจา ทางกาย ก็จะทำให้สังคมอยู่กันโดยไม่สงบสุขแน่ แต่การที่เราจะมีสังคมที่ดี แล้วก็มีสิ่งที่ได้ทราบมาว่า ได้รับฟังเรื่องของทาน เรื่องของศีล เรื่องของภาวนา ถ้าไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องมั่นคงจริงๆ ไม่ว่าจะการสอน หรือว่าในความประพฤติของเราจะไม่มั่นคง เพราะเหตุว่าแม้แต่การที่จะให้ความรู้คนอื่น ถ้าเราเป็นผู้ที่ไม่เข้าใจ ไม่รู้จริงๆ เราก็ให้ไม่ได้ อาจจะมีแต่เปลือก แต่ว่าแก่นจริงๆ ที่เป็นรากที่จะให้มีความประพฤติทางกาย ทางวาจาที่ดีขึ้นๆ ต้องอาศัยปัญญา คือ ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งในพระพุทธศาสนาทรงแสดงไว้ทุกระดับขั้น เพราะว่าเป็นเรื่องของชีวิตจริงๆ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทุกวัน ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราฟังธรรม หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับจริยศึกษาก็ตาม เป็นเรื่องเดียวกันหรือว่าคนละเรื่อง อันนี้น่าคิด ใช่ไหมคะ เป็นเรื่องเดียวกันหรือคนละเรื่อง พระพุทธศาสนากับจริยศึกษา เป็นเรื่องเดียวกันหรือว่าคนละเรื่อง

    ธรรมเป็นเรื่องที่ต้องคิดไตร่ตรอง แล้วเราก็จะเป็นผู้ที่ตรง แล้วก็มีเหตุผล คงได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม ธรรมมีอะไรบ้างที่ทรงแสดง นี่เป็นสิ่งที่ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ จะไม่ทราบเลยว่า ทรงแสดงทุกอย่างที่มีจริง อย่างเรื่องหัวข้อที่จะพูด เป็นเรื่องของจิต เจตสิก รูป นิพพาน

    ก่อนอื่นพระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรม เพราะฉะนั้น จิตเป็นธรรมหรือเปล่าคะ น่าคิดไหมคะ เป็น เจตสิก นี่คงเป็นชื่อใหม่ บางท่านอาจจะไม่เคยได้ยินเลย เพราะว่าในหนังสือเรื่องที่เกี่ยวกับจิตวิทยา หรือปรัชญา จะมีจิต แต่ไม่มีเจตสิก แต่ในพระพุทธศาสนาครบถ้วน เรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ธรรมที่ทรงแสดงกว้างขวางมาก ไม่ใช่แต่เฉพาะในโลกนี้ ทั่วจักรวาล ทุกแห่ง ธรรมครอบคลุมไปถึง เพราะเหตุว่าเป็นการตรัสรู้โดยพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงสัจจธรรม คือ ความจริงที่มีอยู่ เมื่อเป็นความจริงก็ย่อมจะพิสูจน์ได้ทุกกาลสมัย ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่จริง เดี๋ยวก็เปลี่ยน แต่ว่าถ้าเป็นสัจจธรรม เป็นความจริง เปลี่ยนไม่ได้เลย เมื่อ ๒,๕๐๐ กว่าปีที่ทรงแสดง ความจริงเป็นอย่างไร ก่อน ก่อน นั้นอีก หรือว่าต่อไปข้างหน้าอีกนานแสนนาน ความจริงนี้ไม่เปลี่ยน

    นี่คือความหมายของธรรม ธรรมคือสิ่งที่มีจริงทั้งหมด แล้วก็ผู้ที่ทรงแสดงสภาพธรรมได้ครบถ้วน โดยละเอียดคือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งได้ทรงแสดงพระธรรมถึง ๔๕ พรรษา แล้วก็มีการทรงจำสืบต่อมาจนถึงเรา เป็นพระไตรปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ทั้ง ๓ ปิฎก มีคุณค่ามากมาย เปรียบไม่ได้เลย ถ้าได้ศึกษาจริงๆ เพราะว่าพระวินัยปิฎก ส่วนใหญ่ก็เข้าใจกันว่า เป็นเรื่องของความประพฤติของพระภิกษุทางกาย ทางวาจา สำหรับเพศบรรพชิต ลองคิดดู บรรพชิตต่างกับคฤหัสถ์ ทางไหนคะ ไม่ใช่เพียงแต่เฉพาะเครื่องนุ่งห่มที่แสดงเพศของบรรพชิต แต่ต้องเป็นใจที่ถึงการสามารถสละ ละความติดข้องในการครองเรือนสู่เพศบรรพชิต ที่จะอบรมเจริญปัญญาตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง จนถึงกาลที่สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องบวชก็ได้ วิสาขามหาอุบาสิกาก็ไม่ได้บวช ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ไม่ได้บวช แต่ว่าท่านก็รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้

    เพราะฉะนั้น การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมสามารถที่จะรู้แจ้งได้จนถึงระดับขั้นพระอนาคามีบุคคล เพราะเหตุว่าการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมที่เป็นพระอริยเจ้าที่ดับกิเลส มี ๔ ขั้น ขั้นแรก คือ ขั้นพระโสดาบันบุคคล ขั้นที่ ๒ คือ พระสกทาคามีบุคคล ขั้นที่ ๓ คือ พระอนาคามีบุคคล ขั้นที่ ๔ คือ พระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น เวลาที่เราจะพูดถึงพระโสดาบัน เรามักจะใช้ในความหมายของพระอรหันต์ เช่นบางคนอาจบอกว่า ฉันไมใช่พระโสดาบัน เหมือนกับคนที่ไม่มีกิเลสเลย แต่คนที่ไม่มีกิเลสเลย ต้องเป็นถึงพระอรหันต์ พระโสดาบันก็ยังมีกิเลสที่ยังต้องละต่อไป ถึงขั้นพระสกทาคามีก็ยังที่มีกิเลสที่จะต้องละต่อไป ถึงขั้นพระอนาคามีก็ยังมีกิเลสที่จะต้องละต่อไป จนถึงความเป็นพระอรหันต์ นี่แสดงให้เห็นว่า การที่เราจะจากความเป็นปุถุชน ได้ยินได้ฟังพระธรรม แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม จนกว่าจะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ ไม่เร็วแน่ๆ เพราะว่ากิเลสซึ่งทุกคนมี มีมาก แล้วก็การละกิเลส เป็นสิ่งซึ่งต้องเป็นปัญญาจริงๆ ถ้าไม่ใช่ปัญญาไม่สามารถจะละกิเลสได้เลย

    เพราะฉะนั้น สำหรับอุบาสก อุบาสิกาซึ่งมีความสนใจในเรื่องของจริยธรรม ไม่ว่าจะเป็นครู หรือจะเป็นอาจารย์ พยาบาล อย่างไรก็ตาม หรือแม้แต่ตัวเอง ก็น่าที่จะคิดว่า พระธรรมมีประโยชน์ แล้วก็สามารถที่จะทำให้เรามีคุณความดี มีกายวาจาใจที่ดีขึ้นได้ยิ่งกว่าคำสอนของคนอื่น เพราะว่าคำสอนของคนอื่น เราอาจจะไปซื้อหนังสือตำราอะไรมาสักเล่มหนึ่ง แล้วก็บอกวิธี มีเพื่อนจะทำอย่างไรถึงจะมีคนรัก จะทำอย่างไรถึงจะสำเร็จประโยชน์ แต่ว่านั่นเป็นเพียงวิธีการ แต่ไม่ใช่ปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจตัวเรา จากการที่เราไม่เคยรู้จักตัวเราเลย แล้วถ้าเราไม่รู้จักตัวเรา เราจะรู้จักคนอื่นได้ไหมคะ เราเพียงแต่คิด คาดคะเน แล้วส่วนใหญ่ก็จะมองเห็นกิเลสของคนอื่น แต่กิเลสของเราไม่เคยเห็น วันหนึ่งๆ คนนั้นก็ไม่ดี คนนี้ก็ไม่ดี แต่ตัวเราไม่ดีบ้างขณะไหน เป็นสิ่งที่เราลืม เพราะฉะนั้น การที่เราจะมีกายวาจาใจที่ดีขึ้น ก็ต้องเพราะรู้ความจริงของสภาพธรรมซึ่งทรงแสดงไว้โดยละเอียด


    หมายเลข 9585
    15 ส.ค. 2567