เพราะมีธรรมจึงมี ๓ ปิฎก (ตอนที่ ๒)
สำหรับเรื่องของพระสูตรก็เป็นเรื่องที่ทรงแสดงธรรมที่มีสถานที่ต่างๆ บุคคลต่างๆ ข้อความต่างๆ สำหรับปิฎกสุดท้าย คือ พระอภิธรรมปิฎก ไม่มีชื่อของสัตว์ บุคคล เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงๆ เพราะฉะนั้น ความต่างกันของ ๓ ปิฎก โดยชื่อ พระวินัยปิฎก ส่วนใหญ่เรื่องของบรรพชิต พระสุตตันตปิฎกก็เป็นข้อความธรรมที่มีสัตว์บุคคลต่างๆ เช่น พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล หรือว่าท่านพระอานนท์ ท่านพระสารีบุตร เป็นต้น แต่เมื่อถึงพระอภิธรรมปิฎก เป็นเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริง โดยไม่ต้องมีชื่อใดๆ เลยทั้งสิ้น
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าเรามีความเข้าใจใน ๓ ปิฎกว่า เพราะมีธรรมจึงได้มี ๓ ปิฎก ถ้าไม่มีธรรม ไม่มีสภาพธรรมที่มีจริงๆ ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมหรืออภิธรรมซึ่งเป็นปิฎกสุดท้าย พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก หรือสิ่งใดๆ ก็มีไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นอาจจะยังไม่คุ้นหูกับคำว่า อภิธรรมปิฎก ใช่ไหมคะ แต่คุ้นหูกับอภิธรรม มีใครไม่เคยได้ยินคำนี้บ้างไหมคะ อภิธรรม ตามหน้าหนังสือพิมพ์ มีแล้ว สวดพระอภิธรรมในงานศพ ได้ยินแต่ผ่านไป ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพระอภิธรรมคืออะไร แต่ตามความเป็นจริง พระอภิธรรมเป็นการแสดงถึงการตรัสรู้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ประเพณีของไทยเราเพื่อที่จะรักษามรดก คือ การที่จะศึกษาคัมภีร์นี้ให้เข้าใจ ไม่ให้สูญหาย ก็นำมาสวดในการทำบุญในงานศพ เพื่อวันหนึ่งเรามีโอกาสจะได้ศึกษาพระอภิธรรม หรือว่ามีโอกาสที่จะได้เข้าใจพระอภิธรรม มีโอกาสที่จะได้เข้าใจคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้จักพระคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ายิ่งขึ้น
ถ้าถามผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระคุณอย่างไร มีใครจะตอบได้ไหมคะ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอย่างไร ถ้าไม่ศึกษาเราจะตอบเพียงเล็กน้อย เท่าที่เราคิด เช่น เป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดเปรียบปาน ทรงมีพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ แต่พระปัญญาคุณรู้อะไรที่ทำให้พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระบริสุทธิคุณถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าไม่ศึกษาก็ไม่ทราบ และพระมหากรุณาคุณ คงจะไม่ทราบว่า เป็นผู้ที่ช่วยเหลือบุคคลอื่น วันหนึ่งๆ มากกว่าบุคคลใดทั้งสิ้น มีการบรรทมพักผ่อนน้อยมาก นอกจากนั้นก็เป็นเวลาที่ตั้งแต่ตื่น ก็พิจารณาว่า จะไปแสดงธรรม หรือว่าจะไปอนุเคราะห์บุคคลใด แม้ว่ายังไม่ถึงเวลาบิณฑบาต ชาวบ้านอาจจะยังไม่พร้อม ก็ได้เสด็จไปเพื่อที่จะได้สนทนาธรรมกับบุคคลนั้น เพื่อที่จะให้เขาเข้าใจว่า อะไรเป็นสิ่งที่มีจริงๆ ที่ถูกต้อง เพื่อว่าแม้วันนี้เขายังไม่สามารถจะเข้าใจธรรมได้โดยตลอดทั้งหมด แต่เมื่อได้ฟังครั้งหนึ่ง ต่อไปเขาก็คงจะได้ฟังอีก แล้วก็คงจะเข้าใจอีก เพราะว่าแต่ละคนต้องมีการเริ่มต้น ถ้าเราไม่เริ่มต้นเลย เราจะไปเข้าใจพระธรรมสูงๆ ได้ไหมคะ ในเมื่อพระธรรมต้นๆ เรายังไม่เข้าใจเลย
เพราะฉะนั้นการฟังพระธรรมจากพระไตรปิฎก ก็จะต้องเริ่มจากครั้งที่ ๑ เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ จนกระทั่งสามารถที่จะรู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ ที่ทรงแสดงพระธรรม แม้บุคคลนั้นจะอยู่ไกลแสนไกล แต่คนนั้นสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ เสด็จไปโปรด ลองคิดสิคะว่า ยุคนี้สมัยนี้มีใครไหมคะ สักคนเดียวที่สามารถที่จะฟังธรรมแล้วเข้าใจจนถึงรู้แจ้งอริยสัจจธรรม ก็เสด็จไปโปรด แสนไกล
นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งถ้าเราได้อ่านพระไตรปิฎก ได้ฟังพระธรรมก็จะทำให้เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณมากขึ้น