สภาวธรรม


    ท่านอาจารย์ มีอีกคำหนึ่งคะ คุณสุภีร์คะ “สภาวธรรม” ก็คงจะได้กล่าวถึงแล้ว แต่ขอให้เน้นอีกครั้งหนึ่ง

    อ.สุภีร์ คำว่า สภาวธรรมก็มาจากคำว่า สันโต ภาโว เท่ากับ สภาโว สันโต แปลว่า มีอยู่ ภาโว แปลว่าเป็นอยู่ ธรรมที่มีอยู่เป็นอยู่ มีอยู่ เป็นอยู่ ซึ่งก็คงจะไม่ได้มีอยู่เป็นอยู่ ในขณะอื่น ขณะไหน ก็คือมีอยู่เป็นอยู่ในขณะนี้นั่นเอง เรียกว่า สภาวะ

    ท่านอาจารย์ อย่างเห็นอย่างนี้ มีจริงๆ ไหมคะ มีจริง เป็นธรรมหรือเปล่า คือ สิ่งใดที่มีจริง ซึ่งดูเหมือนธรรมดาเหลือเกินในชีวิตประจำวัน แต่ธรรม คือ ธรรมดาที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ทั้งหมด ตั้งแต่เกิดมามีใครมีอะไรบ้าง นอกจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก เมื่อวานนี้ ปีก่อน หรือเมื่อไร ชาติไหนก็ตาม แต่จะพ้นจาก ๖ ทางนี้ไม่ได้เลย คือ เพราะมีตาจึงเห็น มีหูจึงได้ยิน มีจมูกจึงได้กลิ่น มีลิ้นจึงลิ้มรส มีกายจึงกระทบสัมผัสสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วใจก็คิดนึกถึงแต่เรื่องที่เห็น เรื่องที่ได้ยิน คิดถึงกลิ่น คิดถึงรส คิดถึงกระทบสัมผัส นี่คือการคิดนึก ถ้ามีเพียงเห็นแล้วไม่คิดเลย จะมีอะไรต่อไปไหมคะ จะมีเรื่องราวอะไรต่อไปไหม

    เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง แล้วก็เป็นปรมัตถธรรม หมายความว่าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของสภาพนั้นได้เลย แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ก็ทรงเคารพธรรม ไม่ใช่ว่าพระองค์จะไปแก้ไข ไปเปลี่ยนแปลงโลภะให้เป็นโทสะ หรือว่าอะไรต่างๆ เหล่านั้นได้เลยสักอย่างเดียว แต่ว่าได้ตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงอย่างไร ทรงแสดงอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจธรรมก็จะรู้ว่า ธรรมนั้นเป็นปรมัตถธรรม แล้วปรมัตถธรรม หรืออภิธรรมเป็นคัมภีร์ที่ยิ่งใหญ่ เพราะเหตุว่าเป็นการกล่าวถึงเรื่องสภาพธรรมทั้งหมด โดยละเอียด สิ่งที่มีจริงๆ ทรงแสดงโดยละเอียด แล้วจะให้ตัดอะไรทิ้งคะ ผู้ที่บอกว่ารู้จักธรรม แต่ไม่รู้จักปรมัตถธรรม หรือไม่รู้จักอภิธรรม พูดไม่ถูก เพราะถ้ารู้จักธรรมก็เข้าใจถูกต้องว่า ธรรมเป็นธรรม เป็นปรมัตถธรรม เป็นอภิธรรม ไม่มีใครสามารถสร้างธรรมได้เลย ธรรมทุกอย่างในขณะนี้ที่เกิด พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้เหตุปัจจัยที่ทำให้สภาพธรรมในขณะนี้เกิดขึ้นเป็นไปทุกๆ ขณะ แล้วจะไปตัดอะไรออกคะ วันนี้จะตัดอะไรคะ ตัดเห็น หรือตัดได้ยิน หรือตัดได้กลิ่น หรือตัดลิ้มรส หรือตัดการกระทบสัมผัส หรือว่าตัดการคิดนึก ไม่มีใครสามารถจะตัดหรือทำอะไรกับธรรมได้เลย

    ด้วยเหตุนี้หัวใจของพระพุทธศาสนาซึ่งในศาสนาอื่นไม่มี คือ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครสามารถดลบันดาลได้ ใครก็ตามที่เกิดแล้วไม่ตายได้ไหมคะ นี่คือธรรม สิ่งใดที่จริง สิ่งนั้นไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่ไม่ตรัสรู้ ก็เข้าใจว่าเกิดแล้ว อยู่ไปนาน แล้วก็ถึงจะตาย วันนี้ยังไม่ตาย แต่ว่าจากการตรัสรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ลองคิดตาม ลองค่อยๆ พิจารณา สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ สิ่งนั้นต้องเกิดจึงจะปรากฏ ถ้าสิ่งนั้นไม่เกิดเลย ไม่มีเลย จะปรากฏได้ไหมคะ

    นี่คือธรรม เสียง เมื่อกี้นี้ไม่มี แล้วมี แล้วหามีไม่ จากไม่มี แล้วก็มี แล้วก็หามีไม่ ไม่ใช่แต่เฉพาะเสียง ทุกขณะจิต สภาพธรรมที่เกิดทั้งหมด ไม่เว้นเลย เกิดแล้วต้องดับอย่างรวดเร็ว เมื่อไม่ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมอย่างรวดเร็ว ก็ไม่มีการที่จะสอนว่า ธรรมเป็นธรรม แล้วก็ธรรมเป็นอนัตตา

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ขณะที่ฟังต้องพิจารณาด้วยว่า พระธรรมที่ทรงแสดง ทรงแสดงเรื่องของสิ่งที่มีจริงตามปกติ ตามธรรมดา แต่ตรัสรู้สภาพที่แท้จริงของธรรมนั้นๆ ซึ่งทรงแสดงไว้ว่า สภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นปรมัตถธรรมมี ๔ อย่าง ไม่มากเกินกว่าที่จะศึกษา ใช่ไหมคะ ๔ นะคะ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าไม่มีจิต ไม่มีเจตสิก ไม่มีรูป ก็ไม่ต้องมีอะไรเลย เพียงแต่ว่าแต่ละคน ก่อนศึกษาธรรม ไปแสวงหาธรรม เหนือจรดใต้ก็มี แต่พอรู้จักธรรมแล้ว หนีธรรมไม่พ้น มีใครที่จะพ้นจากธรรมบ้าง สิ่งที่มีจริงทั้งนั้นเลย ทางตาที่กำลังเห็น ชื่ออะไรคะ เห็นเป็นชื่ออะไร ชาติอะไร เป็นคนจีนหรือเป็นคนไทย แล้วถ้าไม่มีรูปร่างเอามาเกี่ยว สัตว์เห็น นกเห็น คนเห็น เทวดาเห็น เฉพาะเห็นเท่านั้น เป็นคนหรือเปล่า เป็นนกหรือเปล่า เป็นสัตว์หรือเปล่า แต่เห็นเป็นสภาพธรรมที่เกิด เพราะต้องมีจักขุปสาท ถ้าไม่มีจักขุปสาท เป็นรูปที่สามารถกระทบกับสี สิ่งที่ปรากฏทางตา จะใช้คำว่าแสงสว่าง หรือจะใช้คำว่าอะไรก็ได้ เพราะว่าธรรมไม่ต้องมีชื่อเลย ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ อย่างถ้าพูดถึงเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่เรียกว่าเห็น ภาษาอังกฤษจะเรียกอะไร ภาษาจีน ภาษาพม่าจะเรียกอะไรก็ตามแต่ เปลี่ยนเห็นเป็นอย่างอื่นได้ไหมคะ

    เพราะฉะนั้น ปรมัตถธรรม ไม่มีเชื้อชาติอย่างที่เราคิด แล้วเวลาที่เราเข้าใจธรรมแล้ว เราจะรู้เลยค่ะ เหมือนกันหมด ความเข้าใจบุคคลต่างๆ จะเพิ่มขึ้น ความเห็นใจ แล้วการรู้ว่า แต่ละคนไม่ได้อยากจะมีอกุศล ไม่อยากจะมีอวิชชา หรือโมหะ หรือความไม่รู้ แต่ตราบใดที่ปัญญายังไม่เกิดขึ้นก็ยังต้องมี เพราะว่าไม่รู้ เมื่อไม่รู้ แล้วความไม่รู้นั้นเองก็จะไปเป็นความรู้ไม่ได้ แต่ความรู้จะค่อยๆ ละความไม่รู้ หรือความเห็นผิดได้

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่งเราอาจจะพูดอย่างนั้นตอนที่เรายังไม่ได้ศึกษา แล้วเราก็คิดว่า เป็นส่วนเกินบ้าง เป็นอะไรบ้าง แต่ความจริงถ้าศึกษาแม้เพียงเข้าใจความหมายของธรรม เราก็รู้ว่า ถ้าผู้นั้นไม่ได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสสอนอย่างนี้ได้ไหมว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แล้วก็เป็นอนัตตาด้วย แล้วทรงแสดงไว้ละเอียดมาก เรื่องของจิต เรารู้แต่ชื่อ เราบอกได้ทุกคนมีจิต แต่ถามทุกคนเวลานี้ว่า จิตอยู่ที่ไหน ตอบได้ไหมคะ ทุกคนมี แต่จิตอยู่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น ความรู้ของเราเผินมาก ถ้าไม่ศึกษาจริงๆ เราไม่รู้จักจิต แต่เราเรียกชื่อจิต แล้วเราบอกว่า เรามีจิต พอถามความละเอียดของจิต ตอบไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่ขณะนี้ก็มีจิต ถ้าไม่มีจิตก็จะไม่อยู่ตรงนี้แน่

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องซึ่งแม้ว่าเป็นสภาพธรรมที่มีอยู่ต้องอาศัยผู้ที่ตรัสรู้ ทรงแสดงจากการตรัสรู้ จึงจะทำให้เราสามารถเข้าใจทุกอย่างที่มีจริงเพิ่มขึ้นว่า ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ทุกอย่าง ถ้าศึกษาโดยละเอียดแล้ว บังคับบัญชาไม่ได้เลย หาสัตว์ บุคคล ตัวตนไม่ได้ อย่างจิตเห็นที่กล่าวถึงเมื่อกี้นี้ ไม่ใช่คนเห็น ไม่ใช่สัตว์เห็น แต่เป็นธาตุ หรือสภาพธรรมอย่างหนึ่งซึ่งสามารถที่จะเห็น เช่นในขณะนี้


    หมายเลข 9588
    18 ส.ค. 2567