ไม้ใหญ่ที่โค่นยาก


    เห็นทุกวัน บางวันก็ได้ฟังเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ว่าส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ฟัง ก็ฟังเรื่องจิต เรื่องอะไรบ้าง แต่ว่าขณะนี้กำลังมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ คือ แต่ละคำกว่าจะเข้าไปถึงการรู้ความจริงว่า ความจริงเป็นอย่างนี้ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ก็เป็นการที่ต้องฟังบ่อยๆ เนืองๆ และต้องเข้าใจขึ้น

    ลองคิดถึงต้นไม้ที่ใหญ่มาก รากอยู่ใต้ดิน และลึกด้วย และการทำลายต้นไม้ต้นนั้นไม่ให้มีอีกเลย จะใช้วิธีไหน ถ้าเพียงแต่โกรธแล้วอยากไม่โกรธ หาวิธีไม่โกรธ ก็คือการตัดกิ่ง ตัดใบนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำลายต้นไม้ต้นใหญ่ของอวิชชา และของอกุศลทั้งหลายได้

    เพราะฉะนั้น ไม่ใช่หมายความว่า การฟังวันนี้ แล้วเราสามารถละการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตนที่กำลังเห็นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็น หรือเป็นเสียง หรือเป็นคิด หรือเป็นอะไรก็ตามแต่ทั้งหมด ไม่ใช่ฟังเท่านี้แล้วสามารถละการยึดถือสภาพธรรมที่เหนียวแน่นมาก และยึดถือมานานแสนนาน อุปมาก็เหมือนรากที่แข็งแรงอย่างยิ่งของต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างใต้

    เพราะฉะนั้น การฟังเพื่อสะสมให้สามารถมีปัญญาถึงอนุสัยกิเลส เรื่องที่จะละโลภะ ความติดข้องรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสิ่งที่ปรากฏที่กาย ในคิดนึกต่างๆ ยังไม่ต้องคิดนึกเลย สุดวิสัย อย่างท่านผู้หนึ่งท่านก็มาสนทนาด้วย แล้วก็หายไปนาน แล้วก็กลับมาบอกว่า เรื่องอื่นไม่ค่อยสนใจ แต่รส อดไม่ได้ ไม่ใช่ให้ใครไปอด ไม่ใช่ให้ใครไปทรมาน แต่รู้ตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นเกิดแล้ว แค่นี้เป็นอุปสรรคที่ใหญ่มากสำหรับการรู้ความจริง เพราะอวิชชา และโลภะปิดกั้นอยู่ตลอดเวลา เพียงแค่สิ่งนี้ปรากฏแล้ว มีจริงๆ และก็ฟังเพื่อเข้าใจความจริง โดยไม่หวังว่าจะเข้าใจมาก หรือสามารถเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาอย่างที่ได้ฟังทันที แต่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความรู้ ความเข้าใจทีละเล็กทีละน้อย

    ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังเผชิญหน้า คือ ปรากฏให้เห็น เป็นสิ่งที่มีจริงๆ อย่างหนึ่งชั่วขณะที่เห็น ค่อยๆ คิด ค่อยๆ ไตร่ตรอง เพียงเกิดกระทบจักขุปสาท และเมื่อจิตเกิดขึ้นเห็นสิ่งนี้จึงจะปรากฏได้ เท่านี้เอง คือ ชีวิต ซึ่งเห็นแล้วเห็นอีก เห็นแล้วก็พอใจบ้าง ไม่พอใจบ้าง คิดนึกเรื่องราวต่างๆ ของสิ่งที่เห็นมาก

    ในหนังสือพิมพ์แค่สีดำ สีขาว เป็นเรื่องใหญ่ไหมคะ คนนี้ก็คนนี้ คนนั้นก็คนนั้น ทั้ง ๒ คนก็มีเรื่องเยอะแยะมากมาย ก็เพียงแค่สีดำขาว แต่ก็ปรากฏเรื่องมากมาย

    นี่แสดงให้เห็นว่า ไม่ได้รู้ความจริงเลยว่า ขณะนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้น นอกจากธาตุรู้ซึ่งเกิดขึ้นรู้แล้วก็ดับ รู้แล้วก็ดับ สืบต่อจนปรากฏเป็นเรื่องใหญ่โต หรือเป็นเรื่องยุ่งยากมากมายเพราะความไม่รู้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม บางคนก็ถามว่า แล้วจะฟังตรงไหนก่อน ไม่ต้องคิดเลย ตรงไหนที่มีสิ่งนั้นจริงๆ แล้วก็พูดให้เข้าใจความจริงของสิ่งนั้น ก็เป็นการได้ฟัง ได้รู้ ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่เคยฟังความจริงอย่างนั้นมาก่อนเลย

    เพราะฉะนั้น ในขณะนี้ก็กำลังพูดเรื่องสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ มีแน่นอน แล้วไม่ใช่ใครด้วย เราเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่ตามความเป็นจริงเพียงจิต ๑ ขณะ แสนสั้น เกิดขึ้นเห็นแล้วดับ จะมีรูปร่าง จะมีความคิดว่า สิ่งนั้นเป็นอะไรหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงเห็นขณะนี้ที่กำลังเห็น เห็นเกิด มีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ดับเร็วเกินกว่าใครจะคิด และคาดคะเนได้ว่า ไม่ทันที่จะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไรเลย แต่ว่าขณะนี้เห็นเกิดแล้วดับ แล้วคิด แล้วจำสิ่งที่ปรากฏ จนเป็นรูปร่างสัณฐานอย่างเร็วมาก

    เพราะฉะนั้น ลองคิดถึงว่า การเกิดดับสืบต่อของจิตแต่ละ ๑ ขณะ จะเร็วสักแค่ไหน เพราะว่าเวลานี้เหมือนไม่ได้แยกจากกันเลย ทันทีที่เห็นก็เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะมีรูปร่างสัณฐานที่หลากหลายมากทำให้จำได้

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม ไม่ลืม ฟังพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงด้วยพระองค์จากพระโอษฐ์ เพื่ออนุเคราะห์คนอื่นซึ่งกำลังฟัง แล้วแต่ได้สะสมความเห็นถูกมามากน้อยแค่ไหน จะเข้าใจได้แค่ไหน แต่ทุกคำเป็นวจีสัจจะ


    หมายเลข 9595
    19 ก.พ. 2567