ตาอยู่ที่ไหน
ถามคำถามที่ทุกคนจะตอบได้ ตาอยู่ที่ไหน ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏทางตาแล้ว ไม่ใช่สีสันวัณณะ แต่ถามว่าตาอยู่ที่ไหน ไม่น่างง ใช่ไหมคะ ธรรมดา ตาอยู่ที่ไหนคะ ทุกคนจำได้ว่า ตาอยู่ตรงไหน บางคนก็เอานิ้วชี้ว่า ตาอยู่ตรงนี้เพราะจำ แค่นี้กว่าจะระลึกได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ไม่ปรากฏ แต่เคยเข้าใจว่ามี แม้สิ่งนั้นไม่มีแล้ว เกิดแล้วดับแล้ว ก็ยังจำว่ามี เพราะฉะนั้น การละคลายการยึดถือเห็น เฉพาะเห็นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ไปคิดว่า ขณะนี้เห็นอยู่กลางตาของเรา ที่หน้าของเรา นั่นคือสัญญา ความจำว่า ยังมีหน้า และมีตา ความจำนี้ละเอียดมาก จำไปหมดเลย เวลานี้ทุกคนจำได้ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และพูดถึงแขนก็จำได้ว่า ตรงไหน พูดถึงขา พูดถึงเล็บ จำได้หมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น เวลาถามว่า ตาอยู่ที่ไหน ก็ตอบได้ เพราะจากอัตตสัญญา แล้วเมื่อไรจะหมดคะ คือ ขณะนั้นต้องไม่มีอะไรเหลือเลยทั้งสิ้น หน้าไม่มี แขนไม่มี ขาไม่มี จมูกไม่มี มีแต่ธาตุที่กำลังรู้สิ่งที่ปรากฏแล้วดับ เพียงหนึ่ง จะมีที่ไหนอีก จะเป็นแขน ที่ขา ที่ตาอย่างที่เคยคิดก็ไม่ใช่ เหมือนอย่างที่เคยคิดก็ไม่ใช่ เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วขณะที่เห็นเกิด ตามความเป็นจริงแล้วเห็น จักขุวิญญาณเกิดที่จักขุปสาทซึ่งเป็นรูปที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น รูปนี้ไม่ใช่ตาขาว ตาดำทั้งหมด แล้วก็มองไม่เห็นด้วย ที่เกิดก็คือที่กลางตา แต่ไม่มีใครมองเห็น แต่กำลังกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่กลางหลัง หรือกลางศีรษะ หรือกลางหู
เพราะฉะนั้น รู้ว่าอยู่ตรงนั้น แต่จำว่ามีเราที่มีศีรษะแล้วก็มีคิ้ว มีตา มีปาก แต่เวลาที่เป็นธรรมจริงๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้จะปรากฏไม่ได้เลย เพราะความจริงขณะนั้น ต้องมีเฉพาะสิ่งเพียงปรากฏ
นี่คือความละเอียด แม้เห็นขณะนี้ที่เกิดที่จักขุวัตถุตามที่ศึกษา เพื่อจะให้รู้ว่า แม้เห็นก็มีที่เกิด ไม่ใช่นอกโลก แต่ในโลก แต่รูปที่เป็นที่เกิดของจิตก็ดับด้วย รวมความว่าทุกอย่างเกิดดับ แต่ก็พอจะให้เห็นความจริงว่า การคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ถ้าไม่ละเอียด ยังคงมีอัตตสัญญา เพราะเหตุว่าตาของเรา แต่ว่าขณะนั้นตรงนั้นที่เห็น และมีสิ่งที่ปรากฏชั่วขณะนั้นเกิดแล้วดับ ทั้งจักขุปสาทก็ดับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็ดับ จิตเห็นก็ดับ เจตสิกที่เกิดพร้อมจิตเห็นก็ดับ แล้วจะเหลืออะไร
เพราะฉะนั้น ความเป็นเราหรือความเป็นอัตตาลึกมาก เหนียวแน่นมาก ถ้าไม่ใช่ปัญญาจริงๆ ละไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงต้องอบรมตั้งแต่ขั้นฟัง เข้าใจสิ่งที่ฟัง เพราะถ้าไม่เข้าใจ ไม่สามารถเข้าใจลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏได้ แต่พอฟังแล้วบ่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น คิดถึงการสะสมของท่านพระสารีบุตร ๑ อสงไขยแสนกัป ที่จะเป็นพระอัครสาวก ก่อนนั้นไม่เป็นแม้พระโสดาบัน แต่พอได้ฟังคำจากท่านพระอัสสชิ เป็นพระโสดาบัน หลังจากนั้น ๑๕ วันเป็นพระอรหันต์ ถ้าไม่เข้าใจธรรมที่ได้สะสมมากมายจนสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ จากการเพียงฟังแล้วละความติดข้อง ก็ไม่สามารถรู้ความจริงของสภาพธรรมได้
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ผู้ที่รู้แล้ว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระสาวกทั้งหลายไม่ได้สงสัยในสิ่งที่ปรากฏ ในเห็นที่กำลังเห็นในขณะนี้ เพราะเหตุว่าถ้าสงสัยเป็นพระโสดาบันไม่ได้ เพราะเหตุว่าผู้ที่เป้นพระโสดาบันดับวิจิกิจฉานุสัย ความสงสัยในสิ่งที่ปรากฏ ไม่เกิดอีกเลย เพราะกว่าจะละความสงสัย ปัญญาก็ค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น การฟังก็ต้องค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ เข้าใจขึ้น ค่อยๆ สะสมความเข้าใจโดยไม่หวังว่า จะรู้ความจริงของสภาพธรรมตามที่ทรงแสดงเมื่อไร และวันไหน แต่ทุกอย่างที่เป็นผลต้องมาจากเหตุ ถ้ามีเหตุ คือ ปัญญาที่ได้สะสมแล้ว จะให้ไปทิ้งปัญญาที่ไหน ก็ต้องเข้าใจถูก เห็นถูกว่า ปัญญาเป็นความเข้าใจ ซึ่งทุกคนลืม ใช้คำว่า “ปัญญา” แต่ลืมว่า หมายความถึงเข้าใจ กำลังมีเห็น กำลังเข้าใจเห็น ไม่ใช่ต้องให้ไปทำอะไรเลยค่ะ ฟังจนกระทั่งเข้าใจ ก็คือเห็นอย่างนี้แหละ ไม่มีรูปร่างเลย เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป ได้ยินไม่ใช่เห็นแล้ว เกิดขึ้นได้ยินแล้วก็ดับไป เป็นอย่างนี้ค่ะ นานมาแล้วด้วย และตลอดไปด้วย และแม้ในขณะนี้ด้วย
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมจึงต้องละเอียด ละเอียดจนกระทั่งว่า อัตตสัญญาต้องไม่มี จึงจะประจักษ์ลักษณะของอนัตตสัญญาได้