ชั้นของโลภะ
อย่างที่ได้กล่าวแล้ว จากขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏแล้วไม่รู้ ขณะนั้นก็มีความติดข้องเพราะความไม่รู้ แค่เห็นพอใจในสิ่งที่ปรากฏ แล้วรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร เพิ่มอีกแล้ว เป็นชั้นๆ แล้วต้องการพอใจจนกระทั่งแสวงหาเพิ่มขึ้นอีกกี่ชั้น
เพราะฉะนั้น ชั้นของโลภะมากมายกว่าจะค่อยๆ ออกไปทีละชั้นๆ ๆ ๆ จนกระทั่งสามารถดับหมดได้
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเป็นประโยชน์ทุกคำที่จะได้เห็นโทษ แม้แต่ที่ทรงแสดงว่า โลภคุณะ หรือโลภคุโณ ก็แสดงว่ามากมายมหาศาล ไม่ประมาทที่จะรู้ว่า หนทางเดียวคือเข้าใจจริงๆ
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมไม่จำเป็นต้องไปติดชื่อว่าอะไร ชื่อว่า พระวินัย หรือพระสูตร หรือพระอภิธรรมก็ตามแต่ แต่ทั้งหมดก็คือมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เริ่มเข้าใจถูกต้องได้
ด้วยเหตุนี้ไม่ประมาท แม้แต่ข้อความในพระสูตรตอนต้นที่ว่า “ที่ราบเรียบไม่น่ารื่นรมย์หรือน่ารื่นรมย์ ก็เป็นที่อยู่อาศัยของวานร” คือ ลิง ไม่ว่าจะตรงไหนทั้งนั้น ถ้ามีสัตว์โลกจะอยู่ในที่ราบเรียบน่ารื่นรมย์ มนุษย์บ้าง สวรรค์บ้าง ที่หนึ่งที่ใดก็ได้ หรือที่ไม่ราบเรียบไม่น่ารื่นรมย์ ในนรก หรือสัตว์เดรัจฉาน เป็นอะไรก็แล้วแต่ ก็ตังทั้งนั้น เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง
ด้วยเหตุนี้ความไม่รู้ทั้งหมดทำให้พระโพธิสัตว์รู้ว่า ทางที่จะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงในขณะนี้ สามารถเป็นไปได้ แต่ต้องด้วยความดี เพราะเหตุว่าถ้าเป็นความไม่รู้ และอกุศลทั้งหลายไม่สามารถทำให้สละความติดข้อง และความไม่รู้ในสิ่งที่กำลังปรากฏได้
ด้วยเหตุนี้การฟังธรรมจึงไม่ใช่เพียงฟัง ใครก็ตามที่ได้ยินได้ฟังธรรม น่าสนใจ อยากฟังเพราะอยากรู้ แต่ถ้ารู้ว่า ไม่ใช่เพียงแค่ฟัง และอยากรู้ด้วยความเป็นเราที่อยากรู้ แต่ฟังเพื่อเข้าใจตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเราเลย แต่เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ที่ละเอียด และลึกซึ้งมาก เพราะฉะนั้น ฟังจนกว่าจะไม่มีเรา ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้อง แต่ถ้าฟังเพราะอยากรู้จะไม่ได้อะไร ยังคงเหมือนเดิม ยังชังคนโน้น ไม่ชอบคนนี้ สารพัดอย่าง ซึ่งไม่เข้าใจเลยว่า ทั้งหมดนี้จะหมดไปได้อย่างไร ในเมื่อเวลาที่พูดถึงมรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางที่ทำให้รู้อริยสัจ ๔ และจำกันได้หมดว่า อริยสัจ ๔ คืออะไร แต่รู้ไหมว่า มรรคนี้เป็นทางดับกิเลส แม้แต่การฟังขณะนี้ก็เพื่อดับอกุศลทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เริ่มจากการเป็นคนดีทีละเล็กทีละน้อย มีแต่ตังเป็นชั้นๆ ๆ ๆ ๆ โลภคุโณ แล้วอย่างไรคะ จะออกไปได้อย่างไร ไม่มีทางพ้นไปได้เลย
ด้วยเหตุนี้การการฟังพระธรรมต้องละเอียด และต้องเป็นผู้ที่ตรงตามความเป็นจริง ถ้าฟังเพราะไม่อยากมีโลภะ ผิดหรือถูก ถ้าฟังเพราะจะได้ไม่โกรธ ผิดหรือถูก ถ้าฟังเพื่อเราจะได้เป็นคนดี ก็ยังคงมีเรา
เพราะฉะนั้น จะเห็นความลึกซึ้งได้ ต้องเป็นผู้ตรงว่า ฟังเพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ว่า เพราะเกิดจึงมี ชั่วคราวแล้วดับ นี่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น ต้องฟังจนกว่าสามารถเริ่มเข้าใจได้ทีละเล็กทีละน้อย และจะเห็นจริงๆ ว่า ตัวตนกั้นความเจริญขึ้นของปัญญา เพราะเรากำลังอยากจะพยายามทุกทางที่จะรู้ความจริง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ ต่อเมื่อไรมีความเข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรมแต่ละอย่างๆ ตามความเป็นจริง เพราะเกิดแล้ว ปรากฏแล้วว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ก็จะค่อยๆ คลายเครื่องกั้นด้วยความเป็นเราที่จะพยายาม แต่รู้ว่าหนทางเดียว คือ แม้ขณะใดก็ตามที่ฟัง ขณะนั้นเป็นธรรม และมีธรรมอื่นๆ เกิดร่วมด้วย อย่างขณะนี้ที่กำลังเห็น เฉพาะจิตเห็นขณะเดียวไม่มีวิตกเจตสิกเกิดร่วมด้วย วิตก ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็เหมือนคิดหรือจรดในอารมณ์ หลังจากที่จิตเห็นชั่วขณะเดียวดับ คิดแล้ว เพราะฉะนั้น ความคิดจะมากมายสักแค่ไหน คิดในสิ่งที่ปรากฏ แล้วยังคิดต่อๆ ไปเป็นชั้นๆ จนกว่าฟังเข้าใจก็คิด แต่คิดพร้อมความเข้าใจถูก