ฝั่งนี้-ฝั่งโน้น
คำอุปมาเรื่องฝั่งนี้ ฝั่งโน้น ก็มีในพระสูตรอื่นๆ ด้วย แล้วแต่ว่าจะทรงมุ่งหมายอะไร เพราะฉะนั้น ในพระสูตรนี้ก็แสดงให้เห็นความห่างไกลของความไม่รู้ ซึ่งจะไปสู่ความรู้ ความเข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า ฝั่งของความไม่รู้กับฝั่งของการดับกิเลสหมด เพราะไม่มีความไม่รู้
เดี๋ยวนี้เอง อยู่ฝั่งไหน ใครอยู่ฝั่งโน้นบ้าง รู้แต่ว่า ฝั่งโน้นมีแน่ แต่กำลังอยู่ฝั่งนี้ แล้วจะถึงฝั่งโน้นได้อย่างไร ถ้าไม่มีความเห็นถูกความเข้าใจถูก
เพราะฉะนั้น ก็คือเดี๋ยวนี้เองมีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น จะไม่มีกิเลส ความติดข้อง ความยึดถือในสิ่งที่ปรากฏโดยสถานหนึ่งสถานใดได้ไหม เพราะเหตุว่าอุปาทาน ความยึดมั่น มีทั้งกามุปาทาน เพียงแค่เห็น ติดข้องแล้วอย่างมาก จะหมดได้ไหม ฟังธรรม ไม่ใช่เรื่องของคนหนึ่งคนใด ไม่ใช่เรื่องของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ ผู้หมดกิเลสทั้งหลาย แต่ว่าเป็นธรรมทั้งหมด แม้แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็คือพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาคุณ
เพราะฉะนั้น ลืมไม่ได้เลยว่า ทั้งหมดต้องฟังเพื่อเข้าใจ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม แต่ต้องเข้าใจคำที่ได้ฟัง เช่นฝั่งนี้กับฝั่งโน้นแสนไกล เพราะเหตุว่าฝั่งนี้เป็นฝั่งของความไม่รู้ และความติดข้อง ส่วนฝั่งโน้นไม่มีความไม่รู้ และไม่มีความติดข้องเลย แต่หนทางมี เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีทาง ก็จะไม่ถึงฝั่งโน้น แต่ให้คิดว่า หนทางไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรม เป็นธาตุที่ตรงกันข้ามกัน เช่น อวิชชา ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ นี่คือความไม่รู้ อยู่ฝั่งนี้แน่นอน และวิชชารู้ความจริง เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏชั่วคราว คำนี้ลืมไม่ได้เลย ทุกอย่างชั่วคราว แล้วชั่วคราวนี้ก็สั้นที่สุด รู้สภาพความจริงเมื่อไร เมื่อนั้นก็คือหนทางที่นำไปสู่ฝั่งโน้น แต่ถ้ายังไม่เข้าใจ ยังติดข้องคำบ้าง เรื่องบ้าง นี่บ้าง ก็ยังไม่ได้เรือจริงๆ ที่จะนำไปสู่ฝั่งโน้น กำลังแสวงหาเรือ หรือว่ายังไม่มีเรือก็แสวงหา ค่อยๆ เป็นเรือขึ้นสำหรับไป นั่งอยู่ในเรือแล้วไปก็คิดดู นานไหม ฝั่งโน้น กระแสของคลื่น กระแสของลม สัตว์ร้ายกลางทะเลที่กว่าจะถึงฝั่งโน้นได้
เพราะฉะนั้น ประมาทไม่ได้เลยสักอย่างเดียว แม้แต่การฟังพระธรรม เข้าใจเมื่อไร เมื่อนั้นคือหนทางที่ทำให้ละความไม่รู้ และความติดข้อง จนสามารถกับกิเลสได้ ไม่เกิดอีกเลย กิเลสที่ดับแล้วจะไม่เกิดอีกเลยด้วยปัญญา ด้วยความเข้าใจ
เพราะฉะนั้น ขาดความเข้าใจไม่ได้ และไม่ประมาทปัญญาด้วย และอย่าไปคิดว่า ปัญญาจะรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ข้อความทั้งหลายในพระไตรปิฎก ในพระสูตร แต่ไม่ได้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ กำลังมีตามความเป็นจริง
เพราะฉะนั้น ถ้าเห็นประโยชน์ มีปัญญา ก็จะรู้ว่า พระธรรมทั้งหมดทุกคำเพื่อให้เข้าใจลักษณะของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งยังเข้าใจไม่ได้ เพราะลึกซึ้ง แม้แต่คำที่ว่า สิ่งที่มีในขณะนี้เกิด เห็นต้องเกิด และสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามที่เกิดแล้วต้องดับ คือเกิดแล้วดับไป นี่ก็เป็นความลึกซึ้งแล้ว ซึ่งข้ามไม่ได้ เผินไม่ได้ ไปคิดถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็ไม่สามารถทำให้วิตกตรึกเฉพาะลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมหลากหลายมาก ทรงแสดงโดยประการทั้งปวง แม้ยังไม่กล่าวถึงอุปมา แต่ให้รู้ว่า ธรรมมีจริงๆ และธรรมก็ต่างๆ กันไป และที่น่าอัศจรรย์ก็คือว่า ธรรมทั้งหลายแม้หนึ่งที่จะเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุปัจจัยที่จะให้เป็นไปอย่างนั้น เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น นี่ก็แสดงอยู่แล้วว่า ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร แล้วไม่ใช่ใครเลยจริงๆ แต่เป็นสิ่งที่เป็นธรรมตา คือ ธรรมเป็นอย่างนี้ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ ต้องเป็นตามที่ธรรมนั้นเป็น