ณ กาลครั้งหนึ่ง
ในขั้นการฟังก่อน เพราะเหตุว่าแม้ขณะนี้สภาพธรรมจะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ไม่ใช่ว่าจะปรากฏเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น การฟังแล้วเข้าใจจริงๆ อย่างมั่นคงว่า ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ฟังจนกระทั่งสามารถชำระจิตที่เคยเต็มไปด้วยเรื่องราวอื่นๆ ที่ทำให้ไม่มีการผูกมั่น ยึดมั่นว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือไม่พอใจ ขุ่นเคืองใจใดๆ ทั้งหมดที่มีค่อยๆ จางลง และประกอบด้วยความเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดมี ไม่ใช่ไม่มี แต่เกิดปรากฏแล้วหมดไป
เพราะฉะนั้น ถ้ามีตามที่เข้าใจจริงๆ และมีความจำอย่างมั่นคงเวลาที่สิ่งหนึ่งสิ่งใดจะเกิดเฉพาะหน้าก็สามารถเข้าใจความจริงของสิ่งนั้นได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ แล้วจะรู้ได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้เลย นอกจากฟังเข้าใจขึ้นแล้วค่อยๆ มั่นคงขึ้นเป็นปกติอีกด้วย เพราะเหตุว่าทุกขณะไม่มีใครสามารถบันดาลตลให้เกิดขึ้นตามใจชอบได้เลย แต่ก็เกิดแล้วทุกวัน เมื่อวานนี้ก็เป็น ณ กาลครั้งหนึ่งที่ผ่านไปแล้วตามวัน เดือน ปี จะผ่านไปนานเท่าไร อีกไม่นานก็ถึง ๑,๐๐๐ ปี ๒,๐๐๐ ปีต่อๆ ไป ทุกขณะก็เป็นเพียง ณ กาลครั้งหนึ่ง
เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจจนกระทั่งมีความเข้าใจมั่นคงจริงๆ ว่า กว่าที่พระผู้มีพระภาคจะทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่ขณะนี้กำลังเกิดดับ แต่ก็ได้บำเพ็ญพระบารมี คือ คุณความดีทั้งหลายที่จะชำระจิตจากความเน่า เป็นขยะ หรือเป็นพิษ เป็นโทษภัย จนสามารถสะอาด และแข็งแรงมั่นคง พอที่จะกล้าพบกับความจริง คือ ในขณะนี้ทุกสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่เหลือเลย แต่ในความจำ ไม่ว่าจะนานแสนนานมาแล้ว หลายภพหลายชาติ ก็จำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยง มีอัตตา คือ เป็นตัวตน สิ่งหนึ่งสิ่งใด สัญญา คือ ความจำ พอเห็นก็จำได้เลย
นี่แสดงให้เห็นว่า กว่าปัญญาจะค่อยๆ เข้าใจ เพราะเหตุว่าถ้าไม่มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น แล้วก็คิดว่า จะไปรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เป็นไปไม่ได้เลย เพราะขณะนั้นเป็นตัวตน เป็นเรา และเป็นความไม่รู้ทั้งหมด แล้วจะไปรู้ความจริงได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมก็ฟังเพื่อเข้าใจขึ้นในสิ่งที่มี และรู้ได้ว่ามีแล้ว โดยไม่มีใครไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น แทนที่คิดจะทำ ก็เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ แต่ละหนึ่ง จากการฟังรู้ว่า เป็นสิ่งที่มีปัจจัยเกิดแล้วดับ แล้วก็ไม่กลับมาอีก เพราะฉะนั้น จะเป็นอันเก่าได้อย่างไร ตั้งนานแสนนานมาแล้ว ก็มีธรรม สิ่งที่มีจริง เป็นธาตุ ซึ่งใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ และธาตุก็มีมากมายประมาณไม่ได้เลย แม้ในวันนี้เองจิตเกิดดับสืบต่อ ขณะนี้ไม่ใช่ขณะก่อน และไม่ใช่ขณะต่อไปด้วย
เพราะฉะนั้น แต่ละ ๑ ขณะ ใครจะนับได้ว่า หลากหลายมากมายสักเท่าไร แต่ก็เป็นสิ่งซึ่งเมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ต้องการรู้ความจริง เกิดมามีสิ่งที่ปรากฏ และความจริงของสิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างไร ถ้าไม่อยากจะรู้เลย ก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้ แต่ถ้าคิดว่า เกิดมาแล้วมีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ควรเข้าใจถูกต้องในสิ่งที่มีหรือเปล่าว่า คืออะไรแน่