ปัญญารู้ว่ารูปเป็นธาตุ ไม่ใช่ใคร
ผู้ฟัง พอเอ่ยถึงรูปกาย ก็ทำให้เราคิดถึงตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า
ท่านอาจารย์ มีรูปใดบ้างที่ไม่ประชุมรวมกัน ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอก เป็นที่ประชุม เพราะว่ารูปจะเกิดขึ้นเพียงลำพังรูปเดียวไม่ได้เลย นี่คือความลึกซึ้ง แม้ว่าเราจะได้ยินได้ฟังบ่อยๆ ธาตุดิน ลักษณะที่แค่นแข็ง ธาตุน้ำ ลักษณะที่เกาะกุมซึมซาบเอิบอาบ ธาตุไฟ เย็นหรือร้อน ลักษณะของธาตุลม ตึงหรือไหว เราได้ยินอย่างนี้ แต่เราเคยคิดไหมว่าทั้ง ๔ ธาตุแยกกันไม่ได้เลย แล้วปรากฏหรือเปล่า ข้อสำคัญที่สุดปรากฏเมื่อไหร่ พูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ ก็ต้องเข้าใจลักษณะนั้นเมื่อสิ่งนั้นกำลังมี แต่ถ้าสิ่งนั้นยังไม่มีเราจะพยายามไปเข้าใจลักษณะของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น แม้จะมีข้อความที่แสดงว่าธาตุทั้ง ๔ แยกกันไม่ได้เลย แต่เมื่อไหร่ที่จะรู้ความจริงว่าขณะนั้นเป็นธาตุ ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น อย่างแข็งมี จึงเป็นธาตุเป็นภาวะที่มีจริงๆ ใครเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย แต่ขณะที่แข็งปรากฏ ขณะนั้นต้องมีธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุน้ำ รวมอยู่ด้วย นี่คือสิ่งที่เราไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ของเราจากการฟังก็จะรู้ได้ว่า รูปที่เกิด แม้ประชุมรวมกัน แต่การที่จะรู้ลักษณะ ต้องรู้ลักษณะแต่ละรูป และแต่ละทางด้วย เช่นสิ่งที่ปรากฏทางตา สีสันวัณณะต่างๆ ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม สีมีได้ยังไง จะอยู่ตรงไหน ที่ไหน แต่เวลาที่สีสันวัณณะกำลังปรากฏ จะมีเฉพาะลักษณะนั้นเท่านั้นที่ปรากฏ ลักษณะอื่นไม่ปรากฏเลย เสียงกำลังปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุดิน น้ำ ไฟ ลมเสียงมีไม่ได้เลย แต่เวลาที่เสียงปรากฏ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ไม่ได้ปรากฏ
นี่คือความลึกซึ้งของสภาพธรรมซึ่งจะเห็นได้ว่า ถ้าเราสามารถเข้าใจถูกในลักษณะของรูปแต่ละรูป แม้ว่าจะประชุมรวมกัน และมีการยึดถือว่าเป็นอะไรก็ตามแต่ เช่นถ้าประชุมรวมกันที่กาย ซึ่งทุกคนยึดถือว่าเป็นกายตั้งแต่ศรีษะจรดเท้า เวลาที่เกิดที่อื่นที่ไม่ใช่ที่กาย ก็เป็นการประชุมรวมกันของรูปเช่นเดียวกัน ไม่มีความต่างกันเลย เพียงแต่ว่าลักษณะนั้นเมื่อปรากฏแล้ว ปัญญาสามารถที่จะรู้ความจริงของลักษณะนั้นว่า เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นไม่ใช่ใคร ไม่ใช่ของใคร ไม่มีเจ้าของ
ที่มา ...