พอเพียง
ก็ยังไม่หมดโลภะ แต่สามารถรู้โทษของโลภะว่า ถ้ามีมากเกินประมาณ ก็นำโทษมาให้ซึ่งเป็นทุจริตกรรมต่างๆ ถ้ายังมีโลภะ จะไม่ให้ยินดีได้ไหม ไม่มีทางเลย เพราะโลภะไม่ใช่ใครเลย ไม่ใช่เรา ไม่มีใครมีอำนาจให้โลภะไม่ยินดีติดข้องได้ เพราะเหตุว่าลักษณะของธาตุหรือธรมะ คือ โลภะ ความติดข้อง เหมือนไฟก็ร้อน หรือเย็น
เพราะฉะนั้น โลภะก็มีความยินดี และติดข้องมากหรือน้อย แล้วแต่การสะสม เพราะฉะนั้น ถ้ามีมาก และเห็นโทษของโลภะมากๆ ก็จะเป็นคนที่รู้อันตรายของโลภะมาก แม้มีโลภะ ก็โลภะพอประมาณ คือไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย พอใจตามมีตามได้ ไม่ได้ห้ามเลยไม่ให้ยินดี อย่างไรๆ ก็ต้องยินดี แต่ตามมีตามได้ เป็นสุขไหมคะแบบนี้ ไม่เดือดร้อนเลย มีอะไรก็พอใจในสิ่งที่มี ได้อะไรก็พอใจในสิ่งที่ได้ อยากได้อะไร แล้วก็ได้ตามกำลัง ห้ามหรือเปล่า ไม่ห้ามเลย อยากได้อะไรทุกคนแสวงหาตามกำลังที่เป็นไปได้ ก็ตามที่พอมีพอเป็นได้
เพราะฉะนั้น ก็ทำให้เห็นได้ว่า ถ้าทุกคนมีชีวิตอย่างพอเพียง หรือยินดีในสิ่งที่มีตามมีตามได้ ก็ไม่เดือดร้อน พร้อมกันนั้นก็อบรมเจริญปัญญาตามมีตามได้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ความพอดีหรือความพอประมาณ ก็ไม่ให้โทษอะไรเลย บางคนอยากเข้าใจธรรมมาก เดือดร้อนไหมคะ อยากเข้าใจมากๆ ก็เดือดร้อน แต่ถ้ารู้ว่า เดี๋ยวนี้เป็นธรรมกำลังปรากฏ จะเข้าใจมากๆ เป็นไปได้ไหมคะ เดี๋ยวนี้จะเข้าใจมากๆ ได้ไหม ค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ แต่อยากเข้าใจมากๆ ในสิ่งที่ปรากฏก็ทำให้เดือดร้อนแล้ว
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย บางคนอยากให้มาก แต่ไม่มี อยากทำบุญใหญ่ๆ แต่ไม่มี แต่ก็อยาก ก็ไปขวนขวายชักชวน ชักจูง ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เดือดร้อนมากเลย แต่ว่าพระโพธิสัตว์ให้เมื่อมี เดือดร้อนไหมคะ