ฉลาดเกิดฉลาดตาย
เกิดคืออะไร และตายคืออะไร เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่า พุทธะคือปัญญา คำสอนที่ทำให้เข้าใจแต่ละคำที่ได้ยินก็เป็นปัญญาของผู้ฟัง และไตร่ตรอง การเกิดเป็นธรรมดา เพราะทุกคนเกิดมาแล้ว ไม่ต้องสงสัยในเรื่องการเกิด แต่ไม่รู้เลยว่า อะไรเกิด เข้าใจว่าเป็นเราเกิด การเกิดก็มีต่างกัน เกิดเป็นคนก็มี เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็มี เมื่อเห็นความแตกต่าง ความหลากหลายของการเกิด แม้แต่คนก็หลากหลายกันไปที่จะประมาณได้ ทั้งรูปร่าง ความสูง ความต่ำ อัธยาศัยใจคอต่างๆ แม้สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เหมือนกันทั้งๆ ที่เป็นผีเสื้อ หรือเป็นนก หรือเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็ต่างกันไป
เพราะฉะนั้น ผู้เห็นความต่างของการเกิดก็ย่อมจะรู้ว่า ที่เกิดต่างกันเพราะอะไร ต้องมีเหตุปัจจัยด้วย และเมื่อเกิดมาแล้วก็ยังต่างกันไปอีก เพราะเหตุว่าตอนเป็นเด็กก็ดูไม่ต่างกันมาก เหมือนๆ กัน น่ารักน่าเอ็นดู ตัวแดงๆ แต่พอโตขึ้นต่างกันหลากหลายมากสุดจะประมาณได้ แสดงถึงการสะสมว่า อะไรทำให้ต่างกันถึงอย่างนี้ ก็แสดงให้เห็นว่า ใครอยากจะเลวหรือใครอยากจะดี ก็เป็นอย่างนั้นได้ แต่ทุกอย่างต้องมีเหตุด้วย และเมื่อเกิดมาแล้ว ความละเอียดก็คือว่า อย่างไรๆ ต้องตาย คนที่เกิดแล้วไม่ตายไม่มี เพราะฉะนั้นจะตายเร็วหรือตายช้า ก็ไม่มีใครสามารถรู้ได้ อาจจะเป็นวันนี้เอง หรือเดี๋ยวนี้เองก็ได้ หรืออีก ๒ – ๓ วันก็ได้
เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาดในการรู้ว่า ต้องตาย แต่เมื่อตายแล้ว ไม่ได้เป็นปัจฉิมจิต คือจิตสุดท้ายที่จะไม่เกิดอีกเลย เพราะเหตุว่ายังมีปัจจัยที่ทำให้เกิดมาเป็นคนนี้ฉันใด เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ก็มีปัจจัยทำให้เป็นคนอื่นทันที จบเรื่องราวทั้งหมดของโลกนี้ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร มาอย่างไร ทุกวันในโลกนี้ก็ไม่มีความจำในโลกก่อนเหลือเลย เพราะฉะนั้น เมื่อจะจากโลกนี้ไป ไม่มีผูกพันใดๆ ในฐานะที่เป็นคนนี้อีกต่อไป แต่ต้องเป็นคนใหม่ทันที และคนใหม่ที่เกิดมาก็เห็นได้ว่า ต่างกันอีกแล้ว จะไม่เหมือนกันเลย แล้วแต่บุญกรรมที่ทำไว้
เพราะฉะนั้น อยากเป็นอะไร อยากเป็นทุกข์มากๆ เกิดมาแล้วเต็มไปด้วยทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ แล้วมีความสะดวกสบายพอสมควร แต่ไม่มีปัญญา เพราะเหตุว่าไม่สามารถรู้ความจริงว่า เกิดแล้วต้องตาย แต่ก่อนจะตายต้องเห็น ต้องได้ยิน ต้องคิดนึก ต้องมีทั้งปฐมจิต และทุติยจิตไปเรื่อยๆ โดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครสามารถยับยั้งไม่ให้ขณะต่อไปเกิดอีกได้เลย ต้องเกิดแน่นอน เป็นธรรมตา คือธรรมดาของสิ่งที่มีปัจจัยเกิดขึ้นก็ต้องเป็น
เพราะฉะนั้น ชอบแบบไหน เลือกได้ไหมคะ แต่เหตุมีที่จะให้เป็นอย่างที่ต้องการ ถ้าจะเป็นผู้มีปัญญา เกิดมีปัญญาเองไม่ได้ เพราะเหตุว่าไม่สามารถรู้ว่า สิ่งที่มีจริงขณะนี้ ความจริงของสิ่งที่มีก็ยังไม่รู้ แล้วจะไปรู้อะไร
เพราะฉะนั้น ที่เข้าใจว่าเป็นปัญญา เป็นปัญญาจริงๆ หรือ หรือว่าไม่ใช่ปัญญา เพราะเหตุว่าถ้าเป็นปัญญาต้องสามารถเห็นถูก เข้าใจถูกความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ทุกขณะเป็นสิ่งที่มีจริง และสามารถเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงด้วย แต่ถ้าไม่มีปัจจัยให้เข้าใจ คิดเองไม่ได้ ทางเดียวคือมีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งโดยฟังพระธรรม ซึ่งก็รู้ด้วยตัวเองว่า จะเป็นบุคคลไหนต่อไป เป็นคนที่เกิดมาแล้วก็ทุกข์บ้าง สุขบ้าง แล้วก็จากโลกนี้ไปด้วยความติดข้อง ด้วยความไม่รู้เหมือนเดิมที่ผ่านมา หรือมีโอกาสได้สิ่งที่ต้องการตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ก็แสดงว่าอยากได้อะไร ไม่ใช่อยากแล้วเป็นอย่างที่อยาก แต่มีเหตุที่จะให้เป็น เพราะฉะนั้น ทุกคนมีความอยาก อยากได้รูป อยากได้เสียง อยากได้กลิ่น อยากได้รส อยากได้สิ่งที่กระทบสัมผัส อยากมีเรื่องดีๆ ฟังแล้วสบายใจ อยากมีเพื่อน หรือไม่ใช่เพื่อน แต่เป็นคนที่ช่วยเหลือก็ยังอยาก คืออยากได้ทุกอย่างที่ดี แต่มีเหตุ ไม่ใช่จะได้อย่างที่ต้องการ
ด้วยเหตุนี้การเป็นคนตรง และมีเหตุมีผล นั่นคือการเริ่มต้นของการเข้าใจความจริง เพราะเหตุว่าความจริงไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถบันดาลให้เกิดขึ้นได้ เดี๋ยวนี้พิสูจน์ได้เลย แม้แต่เพียงเห็น ก็ไม่มีใครสามารถจะเห็นสิ่งที่อยากจะเห็น หรืออยากเห็นเมื่อไร ก็เห็นเมื่อนั้น แต่ต้องมีเหตุปัจจัยที่ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยาก แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เห็น เห็นก็ต้องเห็น เช่น ขณะนี้เห็น และได้ยินตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น ชาตินี้เป็นอย่างไร สุขแค่ไหน ทุกข์แค่ไหน ลำบากแค่ไหน โกรธมากแค่ไหน โลภมากแค่ไหน ยังอยากจะเป็นอย่างนี้ต่อไปหรือเปล่า ถ้าอยากจะเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่เข้าใจประโยชน์ของการเกิดมาแล้วต้องจากโลกนี้ไปแน่นอน แต่จากไปในฐานะที่เต็มไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความริษยา ความผูกโกรธ ความมานะ สำคัญตน หรือจากไปโดยรู้ว่า สิ่งต่างๆ เหล่านี้มีเมื่อไร เป็นทุกข์เมื่อนั้น แน่นอนค่ะ
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า จากการฟังพระธรรมโดยละเอียดขึ้นๆ ก็สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งซึ่งถ้าไม่มีการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้แต่ละคำที่ได้ยินจากพระไตรปิฎกทั้งหมดก็ไม่มีโอกาสได้ยินเลย เพราะฉะนั้น ก็เห็นประโยชน์ว่า การเกิดมามีทรัพย์สมบัติ สูญหายเมื่อไรก็ได้ มีรูปสมบัติก็ต้องเก่า แก่ ชรา มีอุบัติเหตุที่ทำลายให้สูญไปก็ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตามเหตุตามปัจจัย
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดีที่สุด ไม่พ้นจากความดี และการเข้าใจพระธรรม เพราะเหตุว่าถ้าเป็นอกุศลคือสิ่งที่ไม่ดี จะเข้าใจได้อย่างไร เช่น ความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ แล้วจะไปเข้าใจว่า เกิดมาแล้วก็ตายไป เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นสาระเป็นประโยชน์ที่สุด ไม่ใช่ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข หรือความติดข้องในลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่เป็นความเข้าใจ ยามยาก ยามลำบาก ยามทุกข์ใจ ลาภช่วยได้ไหม ยศ สรรเสริญ สุขช่วยได้ไหม ก็ไม่ได้เลย แต่ความเข้าใจธรรม ไม่ว่ากำลังเป็นทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย หรือได้รับภัยพิบัติต่างๆ ขณะนั้นปัญญาไม่ได้ทำให้เกิดความทุกข์เลย เพราะว่าสามารถเข้าใจความจริงในขณะนั้นได้ จนถึงที่สุดว่า ทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งหมดก็เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ต้องตายทุกคน เพราะฉะนั้น จะฉลาดก่อนตาย หมายความว่า ถ้าก่อนตายดี ตายแล้วผลดีก็ต้องเกิดขึ้น หรือว่าชาตินี้ดูดีๆ ละเอียดๆ แล้วแย่มากหรือเปล่า อกุศลทุกวัน และมีทั้งน้อยมาก มากบ้าง ทับถมมาเรื่อยๆ แล้วจะเป็นอย่างไร มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็หมายความว่า ไม่ได้พึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย