ยังไม่เข้าถึงความเป็นธาตุและความเป็นอนัตตา
ผู้ฟัง สัตว์ บุคคล ตัวตนที่เราศึกษาพระธรรม แล้วเราจะต้องละ สัตว์ บุคคล ตัวตนนี่ก็ครอบคลุมหมดทั้ง ๔ ที่กล่าวใช่ไหม คือทิฏฐิ ตัณหา มานะ แต่ จริงๆ แล้วโดยชีวิตประจำวัน สภาพธรรมมันรวมๆ กันอยู่หรือ
ท่านอาจารย์ จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อเร็วมากแล้วแต่ประเภทไหน จะมี ทิฏฐิเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีทิฏฐิเกิดร่วมด้วย มีมานะเกิดร่วมด้วยหรือไม่มีมานะเกิดร่วม ด้วย ก็เป็นแต่ละขณะจิต
ผู้ฟัง ถ้าจะให้ระลึกว่าอันนี้คือลักษณะติดข้องของมานะ ทิฏฐิ ตัณหา ก็แยกไม่ออก
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเราคิดเรื่องราวว่านี่เป็นลักษณะของอะไร แต่จริงๆ แล้วขณะนั้นต้องรู้ในลักษณะที่เป็นธรรมซึ่งเป็นนามธรรมหรือรูปธรรมเท่านั้น
ผู้ฟัง อย่างนี้เพียงแค่รูป ๗ รูป กับนามธรรมในชีวิตประจำวันที่จะ ปรากฏได้
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏถ้ายังไม่รู้ แล้วจะไปรู้สภาพธรรม อื่นเป็นไปไม่ได้
ผู้ฟัง อย่างลักษณะความเป็นตัวตนหรือลักษณะของอนัตตาก็เป็นไ ปไม่ได้ที่เราจะรู้ได้
ท่านอาจารย์ เกิดเมื่อไหร่มีสติระลึกเมื่อนั้นแล้วก็ดับ ถ้ายังไม่เกิดจะไปนั่ง คิดสักเท่าไหร่ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้
ผู้ฟัง ที่ใช้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตา มีจริง และก็ปรากฏได้ แล้วความที่ เป็นอนัตตาหรือไม่มีตัวตนก็จะปรากฏได้เช่นกัน
ท่านอาจารย์ เข้าใจขึ้นว่าเป็นอนัตตา แต่ต้องลักษณะนั้นแหล่ะเป็น อนัตตา ไม่ใช่ลักษณะอื่น ลักษณะสภาพธรรมที่สติกำลังระลึก ลักษณะนั้นเป็นอนัตตา จริงๆ เป็นธาตุแต่ปัญญายังไม่รู้ ยังไม่เข้าถึงความเป็นธาตุ และความเป็นอนัตตาของ สภาพธรรมนั้นจนกว่าจะระลึกบ่อยๆ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
ที่มา ...