โลภะไม่ยอมที่จะให้เป็นอย่างนั้น


    ผู้ฟัง โดยปกติแล้วทุกคนก็จะมีอุปนิสัยแตกต่างกัน แล้วก็จะสะสม ทั้งสิ่งดี และสิ่งไม่ดีมา ทีนี้พอเราพิจารณาตัวเราเอง เราก็จะมองเห็นว่าตัวเราเองก็มี บางสิ่งบางอย่างเป็นสิ่งที่มันไม่ดีซึ่งเราสะสมมา แต่เราก็บอกกับตัวเองว่าสิ่งไม่ดีที่เรา สะสมมา เราก็บังคับบัญชาให้ไม่เกิดก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็เหมือนกับเราล่องลอย ตามสิ่งเหล่านี้ไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน

    ท่านอาจารย์ คุณสุกัญญาเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่าหลังจากที่ฟังธรรม เข้าใจแล้ว

    ผู้ฟัง ถ้าพิจารณาโดยรวม และจากที่คนอื่นบอกกล่าวก็มีการเปลี่ยน แปลงบ้าง

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังเลย ก็ล่องลอยไปยิ่งกว่านี้ใช่ไหม ตามการ สะสมที่คุณสุกัญญาบอกว่าสะสมอกุศลมามาก เพราะฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังแล้ว สังขาร ขันธ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวคุณสุกัญญาที่พยายามจะเปลี่ยน แต่สิ่งที่เกิดขึ้น และเปลี่ยนไป แล้วเพราะการปรุงแต่งของความเข้าใจถูกทีละเล็กทีละน้อย

    ผู้ฟัง อย่างโลภะนี่จะเห็นได้ชัดว่าทุกคนจะมี และมีค่อนข้างมาก เมื่อโลภะเกิดขึ้น เราจะบอกกับตัวเองว่าเราอยากอีกแล้วนะ เราต้องการอีกแล้วนะ แล้ว เราบังคับบัญชาไม่ได้

    ท่านอาจารย์ ไม่เข้าใจว่าทำไม่ต้องมานั่งบอก ใครบอกบ่อยๆ บ้างว่าพอโล ภะเกิดก็นี่นะโลภะเกิดอีกแล้ว สะสมมาเยอะแยะถึงได้เกิดขึ้นอะไรอย่างนี้

    ผู้ฟัง เป็นความคิดจริงๆ

    ท่านอาจารย์ ใครมีใครคิดอย่างนี้บ้าง คุณธิดารัตน์คิดหรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ บางทีก็คิด บางทีก็ไม่ได้คิด ก็แล้วแต่

    ท่านอาจารย์ คุณวิชัยคิดไหม

    อ.วิชัย ไม่ได้คิด

    ท่านอาจารย์ แล้วคุณธีรพันธ์

    อ.ธีรพันธ์ ก็รู้สึกว่าจะคิดไม่ทัน

    ท่านอาจารย์ จริงๆ แล้วก็คงจะเป็นอัธยาศัย บางคนก็ชอบคิดย้อนย้ำถึงสิ่ง ที่ฟัง สิ่งที่กำลังมีในขณะนั้น แต่จริงๆ เข้าใจว่าจะน้อยกว่าคนที่ไม่คิด เพราะว่าโลภะ เกิดเราก็เพลิน สนุกแล้ว จบไปแล้ว ต่อไปก็เพลินต่อไปอีกก็เรื่องอื่นอีก วันหนึ่งๆ แต่ ถ้าสติสัมปชัญะเกิดจะต่างกัน ไม่ใช่มีเราไปนั่งคิดไตร่ตรอง โลภะตั้งมากมายวันนี้ แล้ว ยังจะเกิดต่ออีกข้างหน้า ปัญญาก็นิดเดียว ต่อไปโลภะจะมาอีกสักเท่าไหร่ ก็เป็นเรื่อง ซึ่งไม่จำเป็นเลย เพราะเหตุว่าขณะที่คิดก็เป็นเราด้วย และก็ยังเป็นความพอใจที่จะคิด ด้วย แต่ว่าละเอียดกว่า เพราะเหตุว่ากำลังคิดเรื่องของโลภะ ซึ่งมีมากแต่ก็ทำอะไรไม่ ได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงโลภะที่สะสมมานานจนกระทั่งปรากฏให้เราเห็นว่าต้อง มากอย่างนี้แหล่ะตามความเป็นจริง จะน้อยกว่านี้ได้ยังไงในเมื่อแสนโกฏิกัปป์นับไม่ ถ้วนจนกระทั่งถึงวันนี้ มีแต่ความติดข้องทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทาง ใจ มากบ้างน้อยบ้าง ยังไม่ทันจะรู้สึกตัวเลยแค่ได้ยินเป็นแล้ว ลองคิดดูก็แล้วกัน ถ้า เข้าใจจริงๆ และก็หลายวาระด้วยในวันหนึ่งๆ และที่เพิ่มกำลังจนกระทั่งเป็นความติด ข้องที่พอใจอย่างมากก็ยังมีในอาหารอร่อย ในอะไรๆ อีกหลายอย่าง ดอกไม้สวยๆ นับ ไม่ถ้วน เพราะฉะนั้นไม่ต้องเป็นกังวลว่าโลภะจะไม่มาอย่างรวดเร็ว แล้วก็จริงๆ แทบจะ หนีไม่พ้นเลย แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือว่าเรามีความเห็นถูก เรามีความเข้าใจถูกในธรรม หรือเปล่า ในหนทางที่จะอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมอย่างมั่นคง หรือเปล่า เพราะเหตุว่าการที่จะพ้นไปจากโลภะ เพียงแค่ให้มีความเห็นถูกในเรื่องหน ทางที่จะอบรมเจริญปัญญาก็ยาก เพราะว่าไม่ใช่มีเพียงแต่โลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในชีวิตประจำวันยังติดข้องในความเห็นผิดด้วยความต้องการผล ต้องการปัญญาอีก ต้องการที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้เพื่อรู้แจ้งอริยสัจจธรรม โลภะไม่ได้ ปล่อยไปเลย ขณะใดที่ผิดจากหนทางที่ต้องอดทน ที่ต้องเป็นความรู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ในลักษณะของสิ่งที่มีที่ปรากฏ ขณะนั้นยากเท่าไหร่ จะเห็นได้ว่าโลภะไม่ยอมที่จะให้ เป็นอย่างนั้นง่ายๆ ให้ไปทางอื่นอยู่ตลอดเวลา มีทางลัด ทามีงอะไรก็แล้วแต่ เพราะ ฉะนั้นวันหนึ่งๆ ไม่ต้องไปคิดเรื่องโลภะมากมายแค่ไหน เพราะว่ามากนับไม่ถ้วน


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 146


    หมายเลข 9638
    30 ส.ค. 2567