เบื้องต้นของพระไตรปิฎก


    พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมาก ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ยิ่งด้วยปัญญาต้องถึง ๔ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยศรัทธา ๘ อสงไขยแสนกัป ถ้ายิ่งด้วยวิริยะ ๑๖ อสงไขยแสนกัป นานเท่าไรค่ะ กัปหนึ่งไม่ใช่วัน ไม่ใช่เดือน ไม่ใช่ปี ไม่ใช่ชาติ

    เพราะฉะนั้น พระปัญญาคุณที่ทรงตรัสรู้กับใครทุกคนที่นั่งอยู่ตรงนี้จะต่างกันแค่ไหน พระองค์ทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อรู้ความจริงของเห็น ของได้ยิน ของได้กลิ่น ของชีวิตประจำวันทั้งหมด ตั้งแต่เกิดจนตายโดยละเอียดยิ่ง ทรงตรัสรู้ความจริงว่า แต่ละหนึ่งคนต่างกัน ไม่มีใครเหมือนใครเลย และใน ๑ คน แต่ละ ๑ ขณะก็ต่างกันด้วย ตอนเช้าเป็นอย่างหนึ่ง เห็นอย่างหนึ่ง พอตอนบ่ายก็เห็นอย่างหนึ่ง ตอนเย็น ตอนค่ำก็ได้ยินอีกอย่างหนึ่ง เปลี่ยนไปอย่างนี้ตลอดเวลา และเต็มไปด้วยความไม่รู้ และความติดข้อง

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะคิดถึงว่าฟังพระธรรม ต้องไม่ลืม ฟังใคร ผู้ที่ตรัสรู้ความจริงทุกอย่างโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้แต่ละคนเข้าใจความจริง สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เป็นสิ่งที่รู้ได้ตามความเป็นจริง คือ สิ่งนี้เกิดขึ้นจึงปรากฏว่ามี

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรมต้องค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ เช่นคำว่า “โลก” มีใครไม่รู้จักบ้างไหมคะ เหมือนรู้จัก เพราะอะไรคะ เพราะอยู่ในโลก ก็เลยคิดว่า รู้จักโลก แต่ตามความเป็นจริงถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยสักอย่างเดียว จะมีโลกไหมคะ แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นแหละคือโลก ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม

    เพราะฉะนั้น ถ้าแตกย่อยโลกซึ่งดูเหมือนใหญ่โต กว้างขวาง มีประเทศมากมาย มีแม่น้ำ มีภูเขา ออกเป็นส่วนย่อยที่ละเอียดที่สุดแต่ละหนึ่งต้องเกิดขึ้น และเมื่อเกิดขึ้น และรวมๆ กันก็เป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่ไม่รู้ว่า ขณะใดก็ตามที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น สิ่งนั้นไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เร็วสุดที่จะประมาณ

    เพราะฉะนั้น เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อรวมกัน โดยไม่มีใครรู้เลย ก็ปรากฏเป็นโลกที่กว้างใหญ่ และเป็นสัตว์ เป็นบุคคลต่างๆ แต่ให้ทราบว่า ความจริงทั้งหมดเป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถรู้ได้จนกว่ามีผู้บำเพ็ญพระบารมี ทรงตรัสรู้ และทรงแสดงความจริง ในพระไตรปิฎกจะมีเรื่องของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นไปจากที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้โดยละเอียด จึงทรงแสดงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดเป็นธรรม ทรงตรัสรู้ธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ทำให้คนได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงสามารถรู้ความจริงนั้นได้ด้วย

    เพราะฉะนั้น จึงมีสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสากลจักรวาล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงแสดงพระธรรม และผู้ที่ฟังแล้วเข้าใจก็สามารถรู้ตามได้ จึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธรัตนะ พระธรรมรัตนะ และพระสังฆรัตนะ แม้ว่าจะได้ยินได้ฟังคำนี้บ่อยๆ แต่จะเข้าใจลึกซึ้งถึงความเป็นพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะไม่ได้เลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมอย่างละเอียด

    เพราะฉะนั้น ก็ต้องเริ่มจากการรู้ว่า ธรรมคือสิ่งที่มีจริง พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง แล้วทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง ซึ่งหมายความถึงธรรมให้คนอื่นได้ฟังด้วย เมื่อคนนั้นที่ได้ฟังแล้วมีความเข้าใจ ก็เข้าใจความหมายของธรรมรัตนะ ธรรมที่เป็นรัตนะ เป็นคำสอนที่มีประโยชน์เหนือสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเหตุว่าจะนำผู้ที่เข้าใจแล้วให้ปัญญาอบรมจนกระทั่งพ้นจากกิเลส ไม่มีกิเลสเหลือเลย ความวุ่นวายทั้งหลาย ปัญหาทั้งหลาย เรื่องทั้งหลายที่เป็นความทุกข์ทั้งหมดมาจากกิเลส

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะดับความทุกข์ และปัญหาทั้งหมดก็ต้องดับกิเลส แต่ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่มีอะไรดับกิเลสได้เลย

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่า การที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ พระองค์ทรงดับทุกข์ด้วยพระองค์เอง แล้วทรงสอนให้บุคคลอื่นเข้าใจหนทางที่จะดับทุกข์จนกระทั่งทุกคนสามารถพ้นจากความทุกข์ได้ แต่ต้องเป็นผู้อดทนรู้ว่า ถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่นี่ ความห่างไกลของพระองค์กับผู้ฟังต้องห่างไกลกันมาก ทรงแสดงพระธรรมซึ่งรวบรวมไว้เป็นพระไตรปิฎกแทนพระองค์

    เพราะฉะนั้น อริยสาวิตรี คือ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จึงเป็นเบื้องต้นของพระไตรปิฎก


    หมายเลข 9662
    19 ก.พ. 2567