โลกมืดหรือสว่าง


    ท่านอาจารย์ อยู่ในความโลกของความมืดสนิทมากกว่าสว่าง เพราะสว่างมีทางเดียว คือ ทางตา ถ้าตาบอดทันที ไม่มีอะไรปรากฏให้เห็นเลย มืดทุกทางหมด ทางหูก็มืด จมูกก็มืด ลิ้นก็มืด กายก็มืด ใจก็มืด ถูกต้องไหมคะ

    เพราะฉะนั้น ในความมืดนั้นก็มีรูปซึ่งสามารถกระทบกับสิ่งที่ทำให้ปรากฏเป็นสีสันวัณณะต่างๆ รูปอีกอย่างหนึ่งก็สามารถกระทบกับเสียงทำให้เสียงปรากฏได้ในความมืด ธาตุรู้เกิดในความมืดสนิท แต่สามารถเห็นสิ่งที่สว่าง หรือในความมืดสนิทที่เป็นธาตุรู้นั้นก็รู้เสียง แต่จิตที่เป็นธาตุรู้ที่มืดก็ได้ยินเสียงในความมืดนั้นด้วย

    เพราะฉะนั้น โลกจริงๆ จะสว่างหรือมืดมากกว่ากัน เห็นไหมคะ ผิดจากที่เราเคยเห็นว่า เป็นโลกสว่าง มืดไม่ปรากฏเลย แต่ถ้าเป็นความจริงทีละ ๑ ขณะจิต จะรู้ได้ว่า ขณะใดก็ตามที่ไม่ใช่การเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ต้องเป็นโลกที่มืดหมด รูปก็ไม่ได้ปรากฏ อย่างที่ร่างกายเรา ขณะที่กำลังอ่อนหรือแข็ง จิตรู้ใช่ไหมคะ กำลังรู้ลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง จิตที่กำลังรู้อ่อนหรือแข็งนั้นมืดไหม แล้วแข็งมืดไหม แต่ไม่ได้ปรากฏ

    เพราะฉะนั้น โลกของคนที่ไม่ได้รู้ความจริงจะต่างกับโลกของผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ความจริง และทรงแสดง ซึ่งสามารถค่อยๆ เข้าใจเพิ่มขึ้น และความจริงก็ต้องเป็นความจริง เมื่อปัญญาสามารถรู้ความจริงนั้นถูกต้อง

    ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่า ท่ามกลางความมืดมีเราหรือเปล่า หรือมีธาตุรู้ และที่เคยเข้าใจว่า เป็นรูปของเรากำลังนั่งอยู่ ในความมืดนั้นมีเรานั่งอยู่หรือเปล่า

    อ.ธิดารัตน์ จริงๆ ก็ไม่มี

    ท่านอาจารย์ คุณธิดารัตน์บอกว่าจริงๆ ก็ไม่มี ถูกต้องไหมคะ หลับตาก็ไม่มี พอลืมตามีทั้งร่างกาย มีทั้งมือ ทั้งเท้านั่งอยู่ตรงนี้ แต่พอแค่หลับตาก็ไม่เหลือแล้ว แล้วถ้ามืดสนิท เหลือไหม เพราะฉะนั้น มีความจำ อัตสัญญา จำว่ามีเรา จำว่ามีตัวตน จำว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ทั้งๆ ที่ไม่มีเลยถ้าไม่เห็น ยังมีบ้านไหม ยังมีคนนั้นคนนี้ไหม ถ้าไม่คิด มีไหม

    นี่ก็คือกว่าจะรู้ความจริงซึ่งละเอียดยิ่ง ซึ่งตรง และจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น ในความมืดสนิทไม่มีเรานั่ง แต่ก็จะมีรูปพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่กระทบได้ เช่น สิ่งที่กำลังปรากฏทางตากระทบได้อย่างเดียวคือกระทบตา เพราะฉะนั้น ตรงสิ่งที่ไม่มีอะไรเลย ที่ไม่ปรากฏ แม้รูปที่สามารถกระทบตาได้ ก็ไม่ปรากฏ แต่สามารถกระทบสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วจิตต้องเกิดขึ้นเห็น สิ่งนี้จึงจะปรากฏได้

    นี่คือความละเอียดยิ่งของแต่ละ ๑ ขณะของจิต ซึ่งขณะนี้ก็ยังหยาบ เพราะว่ากว่าจะมีจิตเห็นเกิด ก็ต้องมีจิตอื่นๆ และมีจิตเห็นเกิดขึ้น ๑ ขณะ แล้วมีจิตอื่นไม่เห็นในความมืดอีกแล้ว

    เพราะฉะนั้น เพียงชั่วขณะที่เห็น แล้วก็กลับมืดอีก แล้วจิตอื่นก็เกิด โดยไม่ใช่จิตเห็น ขณะนั้นก็นึกคิดจำได้ว่า สิ่งที่เพียงเห็นแล้วปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน ต้องมากมายหลายขณะจิต ก็ทำให้เกิดการจำเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    เพราะฉะนั้น กว่าจะคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นเรา เป็นโลก เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ต้องเป็นปัญญาที่เข้าใจ เห็นถูกเพิ่มขึ้น ละคลาย จนกว่าประจักษ์แจ้งความจริงของสภาพธรรม ไม่ใช่ว่าจะปฏิบัติ แล้วจะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน โดยไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ไม่ต้องถามใคร เพราะเหตุว่าปัญญาต่างหากที่เข้าใจถูก ถ้าปัญญาไม่เกิด จะไม่เข้าใจอย่างนี้ หรือไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง

    เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจด้วยว่า ปัญญาไม่ผิด แต่ถ้ามีความเห็นผิด ไม่ตรง ขณะนั้นก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ปัญญาตรง และไม่เปลี่ยนด้วย เช่น ขณะนี้ถ้าเข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรากฏมีจริงๆ และเป็นธรรมแต่ละอย่างซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วถ้าจะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า คิดมากกว่าเห็น มากกว่าได้ยิน ก็ถูกต้อง แต่ยังไม่ละเอียด ยังไม่สามารถรู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วที่เรากำลังเริ่มเข้าใจธรรม เป็นเพียงเบื้องต้นที่จะทำให้เข้าใจขึ้น

    เพราะฉะนั้น จากการฟังแล้วไตร่ตรอง แล้วเริ่มเข้าใจว่า คิดมากกว่าเห็น ก็ต้องลึกซึ้งว่า มืดมากกว่าสว่างแน่นอน


    หมายเลข 9663
    19 ก.พ. 2567