ภัยจากการเกิด


    ท่านอาจารย์ ก็สามารถจะเห็นภัยได้ คนแก่เดือดร้อน ลำบาก เจ็บไข้ได้ป่วย ก็เป็นภัยแล้ว มาจากไหน มาจากการเกิด กว่าจะรู้จริงๆ ว่า ทั้งหมดถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย ภัยทั้งหลายก็ไม่มี แต่กว่าปัญญาจะเข้าใจถึงอย่างนั้น ก็ต้องค่อยๆ ฟัง และค่อยๆ เข้าใจ และความเข้าใจก็คือในขณะนี้ที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดกำลังปรากฏ

    ทุกคนต้องโกรธแน่ๆ น้อยหรือมาก ที่จะไม่โกรธเลย เป็นไปได้หรือ แต่จะมีใครบ้างที่จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นภัย กำลังโกรธเป็นภัย และไม่ได้ทำร้ายคนอื่นด้วย โกรธใครก็ไม่รู้ เขาสบายดี แต่ว่าตัวเองขณะที่โกรธ มีภัยเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่รู้

    เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงก็เป็นความจริง ถ้าเราสามารถเข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนั้นจนกระทั่งแม้แต่เห็นขณะนี้ เป็นภัยหรือเปล่า

    นี่คือปัญญาที่ค่อยๆ ละเอียดขึ้น เกิดขึ้นเห็นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย และนำมาซึ่งความไม่รู้ และการยึดถือเรื่องราวต่างๆ ในสิ่งที่ปรากฏ ทุกข์ทับถามซับซ้อนเพิ่มขึ้นมากมาย ก็มาจากเห็น มาจากได้ยิน ซึ่งทั้งหมดก็มาจากการเกิด เกิดแล้วก็แก่ แล้วก็เจ็บ แล้วก็ตาย แล้วก็เกิดอีก แก่อีก เจ็บอีก ตายอีก แต่อกุศลก็สะสมไปตลอดทุกชาติไป ภัยนี้น่ากลัวไหมคะ

    ผู้ฟัง ติดข้องในรสอาหาร หรือในสิ่งสวยๆ งามๆ ในเสียงที่เพราะ ในสิ่งที่ดี น่าจะเป็นภัยชัดเจน

    ท่านอาจารย์ ทุกคำที่ได้ยิน ไม่ได้หมายความว่า ปัญญาสามารถรู้จริงอย่างนั้น อย่างที่ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว และทรงแสดงแล้ว เช่นภัยทั้งหมดมาจากการเกิด ถึงแม้จะได้ฟังอีก ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็ยังไม่เห็นภัยของการเกิด แม้ที่ได้ยินว่า เมื่อวานนี้ทำอะไรบ้าง สำคัญไหม รับประทานอาหารอร่อย แล้วสนทนากันเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพลิดเพลินมากเลย หรือจะไปเที่ยวที่ไหน สนุกสนานมาก แต่วันนี้สิ่งต่างๆ เหล่านั้นอยู่ที่ไหน

    เพราะฉะนั้น ตามความเป็นจริงแม้แต่คำที่ว่า เดี๋ยวนี้เองก็จะเป็นอดีต หรือเป็นเมื่อวานนี้สำหรับพรุ่งนี้แล้ว แสดงว่าไม่มีอะไรเหลือเลย ฟัง ไม่ได้หมายความว่าให้เข้าใจอย่างนี้อย่างมั่นคงที่ละการยึดถือสภาพธรรมในขณะนี้ แต่ฟังเพื่อสะสมความเข้าใจอันนี้ จนกว่าจะมีกำลังเมื่อไร ก็จะเกิดเป็นความเข้าใจของตัวเองในขณะนั้นว่า ถ้ากำลังติดข้องสิ่งหนึ่งสิ่งใด อย่างบางคนชอบดูละคร ฟังเพลง หรืออะไรก็แล้วแต่ ขณะนั้นเพราะสะสมมาแล้ว เพียงแค่ได้ยิน กำลังเพลิดเพลิน ก็ยังรู้ว่า เพื่อลืม ชั่วคราวจริงๆ ชั่วขณะที่ความรู้สึกเป็นสุขนั้นเกิดขึ้น แต่ความรู้สึกนั้นก็ไม่ยั่งยืนเลย ไม่ว่าจะอยู่ไหน อยู่ในป่า มีธรรมชาติสวยงาม อยู่ที่โรงหนัง โรงละคร หรือจะอยู่ที่ร้านอาหาร ที่ไหนที่อากาศดีๆ ทั้งหมดนั้นอยู่ไหน ทั้งหมดก็หมดไปๆ แล้วไม่กลับมาอีก

    เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ถึงฟังแล้ว เข้าใจนิดหนึ่ง หรือเข้าใจ แต่ยังไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเหตุว่าต้องไม่ลืมว่า ความเข้าใจจริงๆ ต้องมาจากการเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ทั้งหมดเพื่อค่อยๆ ให้จิต ให้วิตกเจตสิกไม่ไปสู่เรื่องอื่น แต่ว่าให้ความจริงว่า ในขณะนี้ที่จริงที่สุด คือ สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งอื่น สิ่งอื่นไม่ได้ปรากฏเลย แล้วสิ่งนี้ก็ปรากฏชั่วคราว แล้วก็ดับไปแล้ว แล้วมีสิ่งอื่นปรากฏ คือฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจที่มั่นคง แล้วเมื่อกาละที่สมบูรณ์ สังขารขันธ์ จากการได้ฟังบ่อยๆ ก็ทำให้เริ่มเห็นจริงตามที่ได้ฟังทีละเล็กทีละน้อย จนกระทั่งสามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏในความเป็นธรรม สิ่งที่มีจริงชั่วคราว แล้วก็หมดไป


    หมายเลข 9680
    19 ก.พ. 2567