เห็นเพื่อลืม
ขณะนี้เวลาฟังธรรม ก็ต้องทราบว่า กำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงๆ หรือเปล่า ถ้าพูดถึงสิ่งที่มีจริง หมายความว่าให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มียิ่งขึ้น แม้แต่จะได้ยินจากขั้นการฟังว่าจริง แต่ความเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏก็ไม่ได้ตรงตามที่เป็นจริงอย่างนั้น เช่น เห็นอะไร หลังจากนี้ใครคิดบ้าง หรือเพียงแค่ได้ยินได้ฟังเมื่อไร ก็คิดเมื่อนั้น แต่ว่าถ้าไม่ลืม มีสัญญา ความจำที่มั่นคง มั่นคงนี่ไม่ใช่ไปจำว่า ถามว่าเห็นอะไร แล้วก็ตอบ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่มั่นคงก็คือเมื่อเห็นก็รู้ได้ทันที ค่อยๆ เข้าใจว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
ทุกท่านหลับตา มีอะไรบ้างคะ ตรงตามความเป็นจริง มีเรากำลังนั่ง ใส่เสื้อสีนี้ แขนขาอยู่ตรงนี้หรือเปล่า พอลืมตามาเป็นเราอีกแล้ว นั่งอยู่ตรงนี้ แล้วก็จำอะไรๆ ได้เกี่ยวกับตัวเราในขณะที่กำลังเห็นด้วย ถ้าไม่เห็น ลองนึกถึงซิคะ ไม่มีทางจะนึกได้ แต่เมื่อเห็นจึงรู้ แล้วก็จำได้
ด้วยเหตุที่ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดจริงๆ แล้วต้องตรง ถ้าหลับตาแล้วไม่มีอะไรปรากฏว่า เป็นอะไรเลยสักอย่างเดียว ถูกต้องไหมคะ หรือยังมีอะไรปรากฏในขณะที่หลับตาจริงๆ ไม่มีอะไรเหลือเลย
เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่า มีสิ่งหนึ่งปรากฏเมื่อลืมตา แค่นี้ค่ะ แล้วสิ่งนั้นจะเป็นเราได้อย่างไร เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ จะให้เป็นอย่างอื่นได้ไหม เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงว่า อยู่ในโลกของความไม่รู้มานานเท่าไร ได้ฟังแล้ว ได้ฟังอีก แล้วๆ เล่าๆ กี่ชาติ ชาติก่อนก็อาจจะเคยได้ยินได้ฟังเรื่องหลับตาแล้วไม่มีอะไรเหลือเลย ลืมตาก็มีสิ่งที่ปรากฏทางตาให้เห็นได้ เมื่อไรจะเข้าใจจริงๆ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏเมื่อจิตเห็นเกิดขึ้น ถ้าจิตเห็นไม่เกิด หายไปหมดเลย แล้วยังไปจำผิดๆ ไว้ด้วยว่า ยังมีอยู่
นี่แสดงให้เห็นว่า กว่าจะลบความจำที่เคยไว้ว่า มีตัวตนมั่นคง ต้องเป็นผู้ที่ตรง เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วก็จำไว้มากมาย ตลอดทั้งวันไม่เคยเข้าใจมั่นคงว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้
เพราะฉะนั้น กว่าจะละคลายความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดจากสิ่งที่ปรากฏ ก็ต้องเข้าใจจริงๆ แม้ขณะนี้ที่กำลังเห็นว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แล้วเติมคำต่อไปอีกว่า “เพื่อลืม” ก็ยิ่งไม่ต้องติดข้อง จะเห็นอะไรก็ตามแต่ จะไปเที่ยวที่ไหน เห็นอะไรก็ตามแต่ เพชรนิลจินดามากมาย สถานที่ต่างๆ เพื่อลืม แล้วจะเห็นทำไม แต่ต้องเห็น เห็นไหมคะว่า นี่คือธรรม ซึ่งกว่าจะเข้าใจตามความเป็นจริงจนละการยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ใช่แต่เฉพาะเรา มีแต่สิ่งที่เป็นหนึ่ง ซึ่งเปลี่ยนแปลงลักษณะนั้นไม่ได้ เช่น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ก็จะปรากฏเมื่อจิตเห้นเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่มีทางที่จะทำให้สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะนี้ไปปรากฏทางอื่นได้เลย เพราะฉะนั้น สิ่งนี้ก็เพียงแต่มีเมื่อมีจิตเห็น และถ้าสามารถรู้เข้าใจได้ว่า ถ้าไม่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ไม่มีมหาภูตรูป จะมีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็นได้ ได้ไหม ก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้น รูป ๘ รูป ไม่แยกกันเลย คือ ที่ใดที่มีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็ต้องมีสิ่งที่สามารถกระทบจักขุปสาทได้ แล้วก็มีจิตเห็นเกิดขึ้น เร็วมาก ในขณะนี้ทุกขณะแล้วก็ดับไป
นี่คือความหมายของโลกะ สภาพธรรมใดที่เกิด สภาพธรรมนั้นดับ แล้วก็เร็วสุดที่จะประมาณได้ คิดถึงจักขุปสาทมี สิ่งที่กระทบจักขุปสาทต้องมี จิตเห็นต้องเกิดขึ้นพร้อมเจตสิก เห็น แล้วดับไป ไม่เหลืออะไรอีกเลย และสิ่งที่ปรากฏทางตาที่เพียงปรากฏให้เห็นว่า มี ก็ดับไป สิ่งที่ปรากฏทางตาไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ใครเห็นหรือไม่เห็นก็ไม่รู้ เป็นแต่เพียงสิ่งที่มี และถ้าใครไม่มีจักขุปสาท จิตเห็นไม่เกิด รูปนี้ก็ปรากฏไม่ได้เลย
นี่ก็เป็นธรรมดาของ ๑ ขณะในสังสารวัฏฏ์ แต่ละ ๑ ขณะ แต่ละ ๑ ขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อเร็วมาก และไปหลงยึดถือว่า มีเรา สุขเวทนาเกิดขึ้นก็เข้าใจว่า เรา ทุกขเวทนาเกิดขึ้นก็เข้าใจว่า เรา
เพราะฉะนั้น ความต่างกันของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ากับบุคคลอื่น จะมากสักแค่ไหน ไม่มีทางจะง่ายเลย เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะทำให้ธรรมที่มีจริง เป็นสิ่งที่ง่ายจะเข้าใจ เพราะแม้กำลังปรากฏอย่างนี้ ฟังอย่างนี้ก็ยังไม่ถึงการประจักษ์ความจริงว่า เป็นสิ่งที่เพียงปรากฏ แล้วก็หมดไป