รู้ก่อนละ


    ก้าวล่วงด้วยการกำหนดรู้ กำหนดหมายถึงการพิจารณาไตร่ตรองจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ ที่มั่นคง

    เพราะฉะนั้น การจะละต้องรู้ ถ้าไม่รู้ละไม่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าจะกล่าวล่วงความไม่รู้ ก็ต้องมีความรู้ ฟังวันนี้ แค่นี้พอไหมคะ ต้องเดี๋ยวนี้รู้อะไร พิจารณาอะไร รู้อะไร ขณะนี้กำลังเป็นขณะฟัง ถูกต้องไหมคะ เพราะฉะนั้น ฟังว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังถูกต้องเป็นจริงหรือเปล่า

    นี่ต้องเป็นปัญญาของผู้ฟังเอง ยังไม่ต้องไปละอะไรทั้งสิ้น อยู่ดีๆ จะไปละ เป็นไปไม่ได้เลย แต่ค่อยๆ สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ตามปกติธรรมดา และรู้ว่า ขณะที่กำลังสะสมก็เพียงแต่เริ่มเข้าใจที่จะค่อยๆ ละความไม่รู้ แต่ไม่สามารถละความเป็นตัวตนได้ทันที แต่การที่ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ก็ลองคิดดู พูดถึงเห็น อีกแล้ว เพราะกำลังเห็น เป็นธาตุ สิ่งที่มีจริง เกิดแล้ว เห็นแล้วดับ อุปปัตติ ต่างกับขณะอื่นๆ ที่เป็นนิพัตติ เพราะเหตุว่าขณะอื่นที่ไม่เห็น สามารถคิดเรื่องเห็น สามารถจำเหตุการณ์ต่างๆ ไตร่ตรองพิจารณาอะไรได้หมด แต่ไม่เหมือนที่เห็นขณะนี้เลย

    นี่เป็นความต่างกันว่า ในความมืดสนิท ซึ่งไม่มีสภาพธรรมใดปรากฏ ก็มีสิ่งหนึ่งซึ่งปรากฏเป็นการเห็น ลองคิดดูว่า ใครสามารถทำให้เห็นนี้เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ได้ ต่างกับขณะอื่นทั้งหมด

    เพราะฉะนั้น ขณะที่เห็น ที่ได้ยินก็ต่างอีก มีเสียง ซึ่งต่างกับขณะที่เสียงไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ขณะที่กำลังได้ยินเสียงก็ต่างกับขณะที่คิดเรื่องราวต่างๆ เพราะคิดเรื่องราวจริงๆ ก็คิดถึงเสียง มีใครคิดถึงเรื่องราวโดยไม่มีเสียงบ้างไหมคะ พระวิหารเชตวัน คิดแล้วก็ยังมีเสียงว่า พระวิหารเชตวัน ขณะที่คิดถึงคำว่า “พระวิหารเชตวัน” ไม่เหมือนได้ยินเลย ธาตุที่ต่างกันที่ทำให้เห็นว่า สิ่งที่ไม่ได้ปรากฏอย่างชัดเจนซึ่งเป็นวิญญาณธาตุ เป็นจักขุวิญญาณธาตุ ธาตุที่เห็นเป็นอย่างนี้ ขณะอื่นจะเป็นเหมือนขณะที่เห็นไม่ได้

    เพราะฉะนั้น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย ๕ ทางเป็นอุปปัตติ เกิดขึ้นพิเศษต่างหากจากจิตอื่นทั้งหมดซึ่งเป็นนิพัตติ รับรู้สืบต่อ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เห็นจริงๆ ไม่ใช่ได้ยินจริงๆ ไม่ใช่ได้กลิ่นจริงๆ ไม่ใช่ลิ้มรสจริงๆ ไม่ใช่กระทบสัมผัสแล้วมีสิ่งที่ปรากฏจริงๆ

    นี่คือพระมหากรุณาที่ทรงแสดงพยัญชนะโดยละเอียด แม้ความต่างอย่างนี้ก็เป็นธรรม ซึ่งไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น จะก้าวล่วง ก็คือละความไม่รู้จากการได้ฟัง และเห็นความต่างกันว่า ตั้งแต่เกิดจนตาย จิตหลากหลายมากมายแต่ละประเภทเกิดขึ้น ไม่ขาดเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะหลับหรือตื่น ก็หลากหลายเป็นจิตแต่ละประเภทตามเหตุตามปัจจัย

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่รู้ จะละการยึดถือจิตซึ่งเพียงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็รู้ ทำให้ปรากฏเป็นโลกรวมกันเป็นคน เป็นสัตว์ ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาบ้าง หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง กายบ้างเท่านั้น

    นี่คือการรู้ก่อนละ ถ้าไม่รู้จะละอย่างไร ไม่มีทางเลยที่จะละความไม่รู้ และความติดข้อง เพราะไม่รู้ว่า แม้ขณะนี้ความต่างของจิตเห็นกับจิตอื่นๆ ก็ต่างกันแล้ว แล้วจะไปยึดถือจิตไหนว่าเป็นเรา ในเมื่อแต่ละจิตก็สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย


    Tag  รู้  ละ  
    หมายเลข 9685
    19 ก.พ. 2567