ชำระความไม่รู้
คงจำไม่ลืมที่กล่าวว่า ทุกอย่างเป็นไปตามอำนาจจิต เพราะเหตุว่าเป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏ และเดี๋ยวนี้ใครคิดถึงจิตบ้าง ไม่เห็นมีใครคิดถึงจิตเลย และความจริงจิตเมื่อไม่ได้คิดถึง สะสมความไม่รู้ไว้แค่ไหน เพราะไม่รู้ ก็เลยไม่รู้ว่า แท้ที่จริงแล้วกว่าแม้จะฟังเข้าใจ การที่จิตสะสมความไม่รู้ และความติดข้องทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจตลอดในแสนโกฏิกัปป์ ในสังสารวัฏฏ์ แต่ละวาระ มากจนกระทั่งไม่มีการอุปมาให้เข้าใจได้เลยว่า มากแค่ไหน แม้เขาสุเนรุหรือจักรวาลทั้งหมดมารวมกัน ก็ไม่เท่าความไม่รู้ และความติดข้อง เป็นแผลใหญ่ เน่า เหม็นมาก แล้วจะรักษาให้หายได้อย่างไร เอาความไม่รู้ไปรู้ไปเข้าใจ เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นก็คือว่า รู้ว่าจิตเต็มไปด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้น ความรู้ทีละเล็กทีละน้อยที่เข้าไปชำระล้างความไม่รู้ จริงๆ ก็ยังไม่ถึงขั้นชำระล้าง เพียงแต่มีเครื่องมืออุปกรณ์พอที่สามารถรู้ว่า อะไรทำให้จิตนั้นสะอาดขึ้นได้ทีละเล็กทีละน้อย เหมือนปริยัติ แต่ถ้าไม่เข้าใจ หรือสภาพธรรมไม่ปรากฏกับปัญญา เพราะปัญญายังไม่ได้อบรมที่จะรู้สภาพธรรมนั้น ก็ยังไม่ได้ลงมือขัดเกลาอะไรเลย เพียงแต่ว่ามีความรู้ที่เริ่มจะขัดเกลาเมื่อไร เท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดถึงว่า ชาติไหน เมื่อไร แต่คิดถึงบารมีของสาวกทั้งหลาย ท่านพระสารีบุตร ท่านพระโมคคัลลานะ ก่อนจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมถึงความเป็นพระโสดาบัน กี่กัป มากไหมคะ มาก นับชาติไม่ได้เลย นับวาระไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ก็เข้าใจ ประโยชน์ที่สุดของการเกิดมาเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้ฟังพระธรรมซึ่งเป็นลาภานุตริยะ เป็นลาภที่ประเสริฐยิ่ง คือ สะสมความเข้าใจจริงๆ ในความเป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่ของใคร เป็นอนัตตา ไม่ว่ากี่พระสูตรจะกล่าวถึงโดยนัย โดยโวหารประการใดๆ พระอภิธรรมจะกล่าวถึงจิตแต่ละ ๑ ขณะ โดยละเอียดยิ่ง พร้อมเจตสิก โดยฐานะของความเป็นปัจจัยอย่างไร ก็เพื่อให้เข้าใจถึงความไม่ใช่เรา เป็นสิ่งที่มีจริงชั่วคราวแล้วก็ดับไป ไม่ใช่หมายความว่า เราจะมาจำพระสูตรที่มาฟังทุกเสาร์ แล้วพอจะนึกออกว่า ข้อไหน หน้าไหน ไม่ใช่เลย แต่ไม่ลืมว่า ขณะนั้น เดี๋ยวนั้นคือสิ่งที่มีจริง และเกิดแล้วด้วย และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาด้วย ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นอะไรก็ตาม เดี๋ยวนี้มีสิ่งนี้ที่ปรากฏ ขณะต่อไปไม่รู้เลยว่า อะไรจะปรากฏ
เพราะฉะนั้น เวลาจะตายจริงๆ ใครจะรู้ ใช่ไหมคะ แต่ถ้าสะสมความเข้าใจมาเรื่อยๆ ที่จะรู้ว่า แม้สิ่งที่มีขณะนี้ก็เกิด แล้วก็ปรากฏ และไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา พร้อมที่ว่าเมื่อถึงกาลที่ปัญญาสมบูรณ์ อะไรจะปรากฏ แม้แต่ถ้อยคำของท่านพระอัสชิ ขณะนั้นปัญญาก็สามารถเข้าใจถูกต้อง ละคลายความยึดถือสภาพธรรม ก็ประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริงตามที่ได้ฟัง และรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้
เพราะฉะนั้น ตลอดชีวิตก็คือสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ