ถึงเฉพาะลักษณะสภาพธรรม
ท่านอาจารย์ อยากจะปฏิบัติกันหรือยังคะ ลองตอบหน่อยสิคะ อยากปฏิบัติอะไร ปฏิบัติธรรม ธรรมอะไร จะต้องถามไปจนกระทั่งเป็นคำตอบด้วยเหตุผล แต่ถ้ายังไม่พร้อมด้วยเหตุผล อย่าทำ ทำอะไรไปโดยที่ไม่มีเหตุผล ไม่มีความเข้าใจ ผลคืออะไรคะ ก็ยังคงไม่มีความเข้าใจ ความเข้าใจที่เป็นพื้นไม่มี แล้วทำไป เสียเวลาหรือว่าไม่เสียเวลา โดยมากไม่ทราบเป็นยุคสมัยของการทำตาม ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน เพื่อนบ้านมีอะไร ชาวบ้านแถวนั้นมีอะไร ก็มักจะทำตาม แต่เหตุผลอยู่ที่ไหน ความเข้าใจถูกอยู่ที่ไหน พระพุทธศาสนาไม่ได้สอนให้ทำตาม แต่สอนให้เกิดปัญญาของตนเอง เป็นผู้ที่มั่นคงในเหตุผล ในความถูกต้อง จึงจะรักษาพระธรรมไว้ได้ แม้แต่ความหมายของ ปฏิปัตติ หมายความว่าอะไร ยังไม่ทราบแน่นอน ใช่ไหมคะ เชิญคุณสุภีร์ค่ะ
อ.สุภีร์ คำว่า ปฏิบัติ ก็มาจากภาษาบาลีว่า ปฏิปัตติ ปฏิ ก็ ฏ ครับ ปฏิปัตติ ปฏิ ก็แปลว่า เฉพาะ ปัตติ ก็แปลว่าถึง แปลตามศัพท์ ปฏิปัตติ ก็คือ ถึงเฉพาะ ภาษาไทยเราใช้คำว่า ปฏิบัติ โดยอรรถ ปฏิปัตติ ที่แปลว่า ถึงเฉพาะ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมมีหลายอย่าง มีเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส หรือว่ามีสิ่งที่ปรากฏทางตา อะไรอย่างนี้ ปฏิปัตติก็คือ ถึงเฉพาะลักษณะเฉพาะอย่าง ๆ ของแต่ละสภาพธรรม ก็คือ รู้ว่าอันนี้เป็นการเห็นจริงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ อย่างนี้ ก็คือการถึงเฉพาะแต่ละลักษณะๆ ของสภาพธรรมที่เมื่อเช้าเราก็ได้คุยกันไป จิต เจตสิก รูป มีรูปประการต่างๆ ที่อาจจะกล่าวชื่อยังไม่หมด ก็สภาพธรรมมีแต่ละอย่างๆ แต่ละลักษณะๆ การถึงหรือว่าการรู้ลักษณะอย่างนั้นแหละ เรียกว่า ปฏิปัตติ เชิญท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ จะปฏิบัติหรือยัง หรืออย่างไรคะ ถึงเฉพาะ เวลานี้มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ อะไรถึง ไม่ใช่เรา ไม่มีเรา แต่ต้องมีปัญญาที่ได้ฟังพระธรรมรู้ว่าเป็นธรรมซึ่งเกิดดับจริงๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ถึงกาลที่จะค่อยๆ รู้ลักษณะนั้นจนประจักษ์แจ้งความเกิดดับ ซึ่งเป็นอริยสัจจธรรม เป็นความจริงซึ่งไม่มีใครปฏิเสธเลย แต่ต้องถึงด้วยปัญญาของตนเอง
เพราะฉะนั้น สภาพที่จะถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เมื่อไม่ใช่ตัวตน ต้องเป็นธรรมฝ่ายดี ต้องเป็นสติเจตสิก เพราะฉะนั้น เวลาพูดถึงสติ จะไม่เหมือนกับที่เราเคยคิดเลย สติเจตสิกเป็นธรรมที่มีจริงๆ แต่ว่าเวลาสติเกิดขึ้น จะต้องเป็นไปในฝ่ายดีงามทั้งหมด