กว่าปัญญาจะค่อยๆ รู้ว่าเป็นธรรมใช้เวลาหลายกัปป์
ผู้ฟัง อย่างสภาพธรรมของโทสะไม่ว่าจะเป็นความตระหนี่หรืออะไรก็แล้วแต่ เวลาเกิดขึ้นเราจะรู้สึกว่าตัวเราไม่ดี หมายถึงว่ามีความรู้สึกว่าเรานี่แย่ แต่ว่าขณะที่โลภะเกิด ทำไมมันเป็นความพอใจ และเราก็ไม่เคยรู้สึกว่าตัวเราไม่ดีล่ะคะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ต้องอาศัยคำสอนของผู้ที่ทรงตรัสรู้ จะคิดเองนี่ไม่เห็นโทษของโลภะแน่นอน มีโลภะก็รู้สึกว่าอยากจะได้ ต้องการ ขวนขวาย ได้มาก็พอใจ เก็บรักษาอย่างดี ไม่ยอมที่จะจากไปเลย คิดถึงเรื่องการจากดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทุกข์ทรมานที่จะต้องเสียสิ่งนั้นไป แต่ความจริงมีอะไรเหลือ เพราะว่าทุกอย่างเกิดปรากฏแล้วดับไปเท่านั้น ไม่มีอะไรเหลือเลย แต่ด้วยความไม่รู้ก็ยังคงมีความพอใจติดข้อง เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้ถูกเห็นถูกจริงๆ จึงสามารถที่จะละโลภะได้ เพราะว่าไม่มีอะไรจะละโลภะได้เลยนอกจากปัญญา
ปัญญาของพระโสดาบันละโลภะที่เกิดร่วมกับการเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน แต่ยังมีโลภะอีกเยอะกว่าจะเป็นพระสกทาคามี สามารถจะละความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อย่างหยาบ ไม่ได้ละไปหมดเลย ค่อยๆ เห็นโทษละเอียดขึ้น เมื่อถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคลจึงละโลภะที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แต่ก็ยังมีโลภะซึ่งจะละด้วยอรหัตตมรรค นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเรื่งของการละโลภะเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องที่ละเอียด แต่เป็นเรื่องจริงที่สามารถจะอบรมเจริญปัญญาที่จะละได้ แต่ต้องอดทน และรู้ความจริงไม่คลาดเคลื่อน
ผู้ฟัง ถ้าเป็นคนที่รักจะไม่ค่อยตระหนี่ แต่ว่าคนที่ไม่รักนี่ไม่ให้เลย อยากจะให้ช่วยขยายตรงนี้ด้วยค่ะ
ท่านอาจารย์ สภาพธรรมเป็นความจริง ประโยชน์ก็คือว่า เราสามารถรู้จักตัวเองว่าขณะไหนเป็นยังไง เพราะว่ากับคนที่รักเราให้ได้มาก อาจจะมากกว่าตัวเองอีกก็ได้ แต่เวลาที่เป็นโทสะ ไม่มีทางเลยใช่ไหม ขณะนั้นจะไม่ให้ นี่ก็แสดงให้เห็นว่าบุคคลก็สำคัญด้วย เพราะเหตุว่าการที่มัจฉริยะจะเกิดจะไม่ให้ผู้ซึ่งไม่เป็นที่รัก เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดหวง เทียบได้เลยว่าความรู้สึกต่อบุคคลนั้นเป็นยังไง รักหรือเปล่า รักแค่ไหน น้อยหรือมาก ก็เป็นเครื่องวัดตามความเป็นจริง
ผู้ฟัง กว่าที่จะค่อยๆ รู้ตัว กว่าที่จะค่อยๆ เรียนรู้ หมายถึงปัญญาที่ค่อยๆ เรียนรู้ว่า อันนี้เป็นสภาพธรรม รู้สึกว่ามันลำบากมาก
ท่านอาจารย์ นี่เป็นเหตุที่เราต้องฟังพระธรรม และเราฟังพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวพอไหม
ผู้ฟัง ไม่พอ
ท่านอาจารย์ ไม่พอเลย หลายพระองค์ กว่าที่จะรู้ และอบรมเจริญปัญญาตามความเป็นจริง ไม่ใช่เรื่องจะท้อถอย แต่เป็นเรื่องรู้ตามความเป็นจริงว่าความจริงเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มาเดือดร้อนด้วยความเป็นเราว่า ทำไมมีกิเลสมาก มีความไม่รู้เยอะ แล้วเมื่อไหร่จะหมดสิ้น นั่นก็คือแสดงให้เห็นชัดถึงสักกายทิฏฐิ การยึดสภาพธรรมว่ายังเป็นเราอยู่
เพราะฉะนั้น ถ้าฟังแล้วเข้าใจธรรม ก็จะมีกุศลจิตที่ปลอดโปร่ง รู้ตามความเป็นจริงว่า ตราบใดที่สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ยังไม่ได้ปรากฏกับปัญญาด้วยความเป็นธรรม เราก็ต้องอบรมเจริญต่อไป ก็คือเพื่อเข้าใจถูก เพื่อเห็นถูกในสิ่งที่ปรากฏ ไม่ต้องไปห่วงว่าจะเป็นพระโสดาบันเมื่อไหร่ หรือว่าไม่ ต้องไปห่วงว่าวิปัสสนาญาณจะเกิดเมื่อไหร่ แต่ความรู้มีหรือเปล่า ถ้าไม่มีก็ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง เข้าใจขณะที่หลงลืมสติ กับขณะที่สติเกิด ก็จะรู้ว่าเป็นเรื่องของความอดทน ที่ว่าเป็นไปกับการไม่ติดข้องด้วย มิฉะนั้นก็จะมีตัวตนที่ไปทำอย่างอื่นซึ่งเห็นผิดไป
ที่มา ...