โลกปรากฏเพราะจิต
ทุกคนได้ยินคำว่า “จิต” และพูดคำว่า “จิต” แต่ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะรู้ไหมว่า จิตคืออะไร โดยละเอียด โดยถ่องแท้ โดยประการทั้งปวง เพราะว่าจิตมีแน่นอน แต่จิตคืออะไร และเดี๋ยวนี้จิตอยู่ที่ไหน พูดว่ามีจิตลอยๆ แล้วจิตคืออะไร จิตมี แล้วจิตคืออะไร เมื่อไร ไม่ได้รู้เลยสักนิดหนึ่งว่า ขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่เรา แต่เป็นธาตุรู้ เมื่อเกิดขึ้นแล้วต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใด
เพราะฉะนั้น ตั้งแต่เกิดจนตาย การที่เป็นคน เป็นสัตว์ ต่างกับการเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ก็เพราะเหตุว่าต้นไม้ใบหญ้าไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลยทั้งสิ้น ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก เพราะว่าไม่มีจิต คือไม่มีธาตุรู้ซึ่งต่างจากธาตุอื่นๆ เช่น เสียง หรือกลิ่น หรือแข็ง ซึ่งเป็นธรรมหรือธาตุนั่นเอง คำว่า “ธาตุ” กับ “ธรรม” ความหมายเดียวกัน คือสิ่งที่มีจริง แต่สิ่งที่มีจริงที่เกิดเป็นสิ่งนั้นแต่ไม่รู้ เช่นกลิ่น เสียง แข็ง อ่อน มีใครบ้างไม่รู้จักแข็ง พอกระทบสัมผัสก็มีแข็งปรากฏ แต่เข้าใจไหมว่า แข็งมีจริงๆ ชั่วขณะที่ปรากฏแล้วหมดไป เพราะมีสิ่งอื่นเกิดสืบต่อทันทีเร็วมากจนที่จะประมาณได้
เพราะฉะนั้น อยู่ในโลกของสิ่งที่มีจริงซึ่งเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็วมาก จนลวงเหมือนกับว่าไม่มีอะไรที่ดับไปเลยสักอย่างในขณะนี้ ทั้งๆ ที่แต่ละอย่างก็เป็นแต่ละหนึ่งซึ่งปะปนกันไม่ได้เลย เห็น จะไปปะปนกับได้ยินไม่ได้ เกิดขึ้นด้วยเหตุปัจจัยที่ต่างกัน จะเป็นขณะเดียวกันก็ไม่ได้ แต่เพราะเกิดดับอย่างรวดเร็ว ก็ไม่เคยรู้เลยว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในชีวิตเพราะเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปสืบต่อ จนกระทั่งไม่ปรากฏเลยสักอย่างว่า เห็นขณะนี้ปรากฏแล้วจิตได้ยินจึงเกิดแล้วก็ดับ แล้วจิตคิดนึกเกิดแล้วก็ดับ สืบต่อกันเร็วมาก
เพราะฉะนั้น จึงเป็นโลกของมายา “มายา” หรือ “มายากล” ก็ได้ คือ ลวงเหมือนมีสิ่งต่างๆ แต่ตามความเป็นจริงก็คือสิ่งหนึ่งสิ่งใดก็ตามเกิดแล้วดับ แต่สืบต่อเร็วมาก เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นเพียงนิมิต ให้รู้ว่ามีสิ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่า สิ่งนี้แท้ที่จริงก็คือเกิดดับจนเหมือนไม่ดับ
เพราะฉะนั้น แม้แต่คำว่า “จิต” คงจะไม่ข้าม และคงไม่เผิน แต่ถ้ามีโอกาสได้ฟังจะรู้ว่า ถ้าใช้คำนี้หมายความถึงอะไร หมายความถึงสิ่งที่มีจริงอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นใหญ่ เป็นประธานในการรู้แจ้งสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เช่น เสียงปรากฏ ถ้าไม่มีธาตุที่รู้คือได้ยิน เสียงปรากฏไม่ได้เลย ทั้งๆ ที่เสียงปรากฏได้เพราะมีธาตุหรือมีสิ่งที่มีจริงซึ่งเป็นสภาพรู้ จะใช้คำว่า “จิต” ก็ได้ เพราะคุ้นเคยกับคำนี้ แต่ยังไม่รู้ลักษณะของจิตจริงๆ ว่าเป็นอย่างไร
เพราะฉะนั้น ก็เริ่มรู้ว่า ในขณะที่กำลังได้ยินนี้เอง ธรรมดาปกติอย่างนี้ เสียงปรากฏ เพราะมีได้ยิน ภาษาไทยเราใช้คำว่า “ได้ยิน” เข้าใจได้เลย ได้ยินไหมคะ ได้ยิน หมายความว่าต้องมีเสียงหนึ่งปรากฏให้ได้ยิน
เพราะฉะนั้น สภาพหรือธาตุได้ยิน หรือการได้ยิน หรือลักษณะได้ยิน จะใช้คำอะไรก็ได้ที่ได้ยินนั้นแหละ เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งไม่ใช่เสียง แต่สามารถได้ยินเสียง นั่นคือจิต
เพราะฉะนั้น จิตคือสภาพรู้ ไม่มีรูปร่างใดๆ ทั้งสิ้น ที่กล่าวว่า คนเกิด หรือสัตว์เกิด ก็ต้องมีจิตเกิดขึ้น
ด้วยเหตุนี้ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยขาดจิตเลย ถ้าจะกล่าวก็คือ จิตนั่นแหละเกิด เพราะเหตุว่าถ้าจิตไม่เกิด ก็ไม่มีอะไรปรากฏเลย
ทุกคำแสดงความจริงของสิ่งที่เคยพูด แต่ไม่เคยรู้ เช่นคำว่า โลก โลกะ ในภาษาบาลี ถ้าไม่มีจิต ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น เสียงก็ไม่มี อะไรก็ไม่มี ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาเลย จะมีโลกไหม แค่นี้ก็รู้ได้ เราพูดว่า โลกมีประเทศต่างๆ เพราะเห็น มีเสียงต่างๆ เช่น เสียงดนตรี ก็เพราะได้ยิน
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีสภาพรู้หรือธาตุรู้ ที่จะรู้ว่า ขณะนี้อะไรมีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ โลกก็ไม่ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ไม่มีโลก แต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น นั่นแหละโลก