บุญที่เหนือบุญ
ก่อนอื่นต้องทราบว่า ก่อนได้ฟังพระธรรม ทุกคนมีทั้งกุศล และอกุศลแน่นอน มีการให้ทาน รักษาศีล แต่เข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้น ความต่างของการเพียงต้องการบุญ คือสิ่งที่ดี ก็เพียงรู้ว่า เมื่อมีกุศลซึ่งเป็นเหตุก็ย่อมนำมาสู่ผลที่ดี คือ กุศลวิบาก แต่ไม่ได้เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็ตามที่ได้เฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่จะได้ฟังคือความเห็นถูก ความเข้าใจถูกในสิ่งที่บุคคลนั้นถาม แม้แต่ “บุญ” คืออะไร เป็นเราดี ทำดี แล้วเราจะได้มีความสุข มีผลของบุญ นั่นคือไม่รู้จักคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงแต่เข้าใจในเหตุ และผลว่า เมื่อเหตุดี ผลก็ต้องดี ถ้าเหตุไม่ดี ผลก็ไม่ดี เท่านั้นเอง แต่ไม่เข้าใจอะไรเลยทั้งสิ้น แม้ว่าจะได้พบ ได้เฝ้า และได้ทูลถาม เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคก็ได้ทรงแสดงให้ผู้นั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า แม้ว่าจะเป็นบุญ หรือว่าทำบุญ หรือได้บุญกันอย่างไรตามความคิดความเข้าใจ แต่ก็ไม่ได้รู้จักสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งการที่สามารถเข้าใจสิ่งที่มีในขณะนี้ถูกต้องตามความเป็นจริง เป็นบุญเหนือบุญทั้งหลาย เพราะเหตุว่าบุญอื่นๆ ไม่สามารถทำให้มีความเห็นที่ถูกต้องในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจด้วยว่า บุญคือธรรมฝ่ายดี มีจริงๆ แต่ก็มีหลายประเภท บุญขั้นทานก็มี ช่วยเหลือบุคคลอื่น ให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น บุญขั้นศีล ก็เห็นโทษของการทำให้คนอื่นเดือดร้อน เพราะไม่มีใครต้องการการเบียดเบียนเลยทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น บุคคลใดไม่ต้องการให้ถูกเบียดเบียน ก็ไม่เบียดเบียนใคร แล้วก็ยังมีบางคนก่อนครั้งพุทธกาลมีปัญญาเห็นถูกว่า วันหนึ่งๆ จิตเป็นอกุศลมาก โอกาสจะช่วยเหลือคนอื่น หรือให้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น ก็เป็นเพียงบางครั้งบางคราว
เพราะฉะนั้น จิตที่เป็นอกุศล ใครๆ ก็รู้ว่า ไม่ดี แต่ไม่สามารถทำให้อกุศลซึ่งฝังรากลึกหมักหมมอยู่ในจิตออกไปได้ เพราะเหตุว่าไม่รู้ความจริง ไม่เข้าใจในเหตุ และผลว่า ต้องเป็นความเห็นถูกในสิ่งที่มีจริง ซึ่งคิดเองไม่ได้เลย ต้องอาศัยผู้ที่ทรงตรัสรู้ทรงแสดง ถึงสามารถค่อยๆ รู้ความจริงได้
นี่ก็เป็นบุญที่ขณะใดเข้าใจความจริง แม้ในขณะนั้นไม่ได้ให้ทาน ไม่ได้เบียดเบียนคนอื่นก็ตามแต่ แต่ที่เคยเป็นอกุศลก็สามารถเป็นกุศลได้
การฟังธรรม ก็พิจารณาชีวิตของตัวเอง หรือความเข้าใจของตัวเอง หรือจิตใจของตัวเองซึ่งใกล้ชิดที่สุด ใกล้กว่าจิตคนอื่น ใกล้กว่าเหตุการณ์อื่นๆ ทั้งหมด
เพราะฉะนั้น ถ้าสามารถเข้าใจความจริงที่ตนเอง ก็สามารถรู้ได้ว่า ไม่มีหนทางอื่นเลยที่จะไปเข้าใจคนอื่นเท่ากับเข้าใจตนเอง หรือใครว่าจะเข้าใจคนอื่นได้ดีกว่าเข้าใจเข้าใจตนเอง
นี่ก็เป็นสิ่งที่ผิด และคิดเองมาตั้งแต่ต้น ผู้ที่ไม่มีปัญญา สารพัดคิด แต่ความคิดนั้นจะถูกหรือจะผิด จะตรงกับความเป็นจริงหรือไม่ ต้องอาศัยการได้ยินได้ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง และเรื่องของจิต ทั้งกาย วาจาในชีวิตประจำวัน จึงสามารถจะรู้ได้ว่า เพียงบุญ แต่ไม่มีความเห็นถูก ไม่มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ก็ไม่พอ เพราะเหตุว่าอย่างไรๆ ก็ไม่รู้ว่า ขณะนี้เป็นอย่างนี้เพราะอะไร