ไม่ประมาทพระพุทธพจน์


    ต้องไม่ลืมว่า ศึกษาธรรมเพื่ออะไร ทุกนาทีมีค่า เราไม่ควรปล่อยให้ผ่านไป โดยเฉพาะเวลาที่สนใจฟังธรรม ก็ต้องรู้จุดประสงค์จริงๆ ว่า ศึกษาเพื่ออะไร ไม่อย่างนั้นจะไม่ได้ประโยชน์เลย ถ้าศึกษาชื่อต่างๆ โดยไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ จะได้ประโยชน์ไหม มีแต่ชื่อ แล้วไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะฉะนั้น ที่ว่าศึกษาธรรมทีละคำ เพื่อเข้าใจคำที่ฟังจริงๆ ไม่ใช่คิดว่า เข้าใจแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ไม่ควรจะประมาทพระพุทธพจน์ เพราะเหตุว่าแต่ละคำเป็นสิ่งที่มีค่าประมาณไม่ได้เลย เพราะเหตุว่ามาจากการบำเพ็ญพระบารมีนานแสนนาน และพระบารมีนี่ก็ไม่ใช่ง่ายเลย ยิ่งกว่าใครจะทำได้ เพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งไม่ใช่เป็นเพียงพระปัจเจกพุทธเจ้า หรือสาวก แต่ต้องเป็นผู้ได้รู้ความจริงของสิ่งซึ่งแม้กำลังปรากฏก็ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลย

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ใช่ประมาท ทุกคำต้องไตร่ตรอง วาจาสัจจะ เมื่อเป็นคำจริง คำนั้นต้องพิสูจน์ได้ เข้าใจได้ มีในขณะนั้นให้รู้ว่า ความจริงเป็นอย่างนั้น

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครประมาทจะไม่ได้สาระจากพระธรรมเลย แต่การไม่ประมาทก็จะเห็นพระมหากรุณาคุณอย่างยิ่ง ถ้าขณะนี้เราได้ฟังธรรม และได้เข้าใจธรรม เราจะคิดถึงที่ไม่เข้าใจไหมคะว่า เมื่อไรเขาจะสามารถเข้าใจถึงความจริงที่เกิดมาแล้วไม่รู้ความจริงไปโดยตลอด จนถึงตาย แล้วเกิดอีก ก็ไม่รู้ไปอีก ไม่รู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานไปแล้วกี่พระองค์ ก็ยังคงไม่รู้ไปนั่นแหละ เพราะเหตุนี้การที่จะเป็นผู้เคารพอย่างสูงสุดในพระรัตนตรัย ก็คือฟังพระธรรมด้วยความเคารพอย่างยิ่ง และรู้ว่า การเคารพอย่างยิ่งไม่ใช่เพียงแต่ที่เราสามารถที่จะพูด ที่จะกล่าว แต่ต้องกำลังสะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ซึ่งใครก็ไม่สามารถจะคิดเองได้เลย

    เพราะฉะนั้น บางคนไม่ประมาทตอนต้น แต่ก็ประมาทตอนกลาง คือว่าฟังแล้วคิดเอง มีไหมคะ ไม่ใช่ไม่ฟัง ฟัง แต่เพียงคำเดียว คิดเองไปอีกมาก ผิดหรือถูก ถ้าใครสามารถเพียงฟังแล้วคิดเองได้ เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้แต่ละคำ ผู้ที่เคารพจริงๆ ต้องฟัง แล้วไตร่ตรอง แล้วเข้าใจเพิ่มขึ้น แต่ละคำจะสอดคล้องกันหมดทุกคำ เพราะเหตุว่าพูดถึงความจริงที่ได้ตรัสรู้โดยประการทั้งปวง โดยสิ้นเชิง โดยไม่เหลือความสงสัย หรือจะไม่สามารถอนุเคราะห์คนที่สะสมความเห็นผิด หรือความเห็นต่างๆ อัธยาศัยต่างๆ อีกมากมาย ที่สามารถทำให้เขาได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ทรงแสดง

    เพราะฉะนั้น การมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็เห็นแล้วว่า ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉาน อย่างกากำลังร้อน มีตาเห็น มีหูได้ยิน แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังมีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    เพราะฉะนั้น ทั้งชาติก็หมดไป แล้วใครจะรู้ว่า ชาตินี้ซึ่งตาดี หูดี แล้วสะสมมาดีพอที่จะเข้าใจพระธรรมด้วย แต่ก็เป็นผู้ละเลยหรือไม่เห็นประโยชน์อย่างยิ่งของสิ่งที่มีค่าเหนืออย่างอื่นใด ไม่ใช่ทรัพย์สมบัติ ไม่ใช่เงินทอง ไม่ใช่ลาภสักการะ เพราะเหตุว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไม่สามารถเป็นของใครจริงๆ ได้ เพียงแต่เข้าใจว่าเป็นของเรา แต่ว่าความจริงไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเห็น ชั่วขณะที่เห็น แล้วก็ดับ แล้วจะเป็นของใครไม่ได้เลย แม้แต่เสียง ก็เป็นของใครไม่ได้ เกิดขึ้นปรากฏแล้วก็ดับไป

    เพราะฉะนั้น ทุกขณะถ้ารู้แจ้งตามความเป็นจริง จากการที่ค่อยๆ อบรมปัญญา รู้ความต่างกันเลย เห็นมาก็นาน แต่ไม่เคยรู้ว่า เห็นมีจริงๆ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วไม่ใช่ใคร แล้วไม่ใช่ของใครด้วย แล้วบังคับบัญชาไม่ได้ แม้ว่าจะได้ยินซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่การไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่ก่อนได้ยินเท่านั้น ทุกชาติที่ผ่านมา ก็เห็น ก็ได้ยิน แล้วก็ยังไม่เข้าใจความจริง พิสูจน์ได้จากการที่กำลังฟัง ก็เป็นผู้ตรงที่สามารถรู้ได้ว่า เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังฟังมากน้อยแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น การฟังธรรม เป็นผู้ตรงว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นใคร แล้วเราเป็นใคร เพราะฉะนั้น แต่ละคำ ฟัง พิจารณาเข้าใจเพื่อสะสมความเข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ซึ่งลึก และเป็นความจริง ยากที่จะเห็นได้ ถ้าไม่มีการบำเพ็ญบารมีมาเลย ไม่ว่าจะโดยฐานะของสาวกบารมี ไม่สามารถได้เข้าใจสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง

    ด้วยเหตุนี้ความไม่ประมาทจะทำให้สามารถเป็นผู้ที่ตรงต่อพระธรรม


    หมายเลข 9807
    19 ก.พ. 2567