พระวินัยเป็นรากแก้ว


    มีสมมติสงฆ์ไหมคะ เพราะว่าความจริง ถ้าเป็นพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สงฆ์ที่นั่น หมายความถึงพระอริยบุคคล ไม่ใช่สมมติสงฆ์ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะแยกได้ เวลาที่กล่าวถึงพระรัตนตรัย ต้องหมายความถึงผู้ที่เป็นพระอริยสาวก จึงจะเป็นพระสังฆรัตนะ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคนจะมีศีล มีความประพฤติขัดเกลามากน้อยสักแค่เท่าไรก็เป็นเรื่องที่ทำเฉพาะตัว ไม่ใช่ทำเพื่อประกาศ หรือให้คนอื่นชื่นชม อนุโมทนา รับรู้หรืออะไรต่างๆ ทั้งสิ้น ถ้าผู้ใดอ่านพระวินัยปิฎก ทั้งๆ ที่เป็นคฤหัสถ์จะเห็นได้จริงๆ ว่า ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติความประพฤติที่ดีงามทั้งกาย วาจา ยิ่งกว่าของคฤหัสถ์ ก็แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่อยู่ในเพศสมณะต้องสงบจริงๆ ระดับไหนแค่ไหน ไม่ใช่จะเหมือนอย่างคฤหัสถ์ แต่ทุกข้อที่บัญญัติเพื่อขัดเกลายิ่งขึ้น เพื่อความสงบ เป็นเรื่องเฉพาะตัว ซึ่งคฤหัสถ์เวลาอ่านแล้ว ถ้าเห็นว่าสิ่งนี้ดี น่าประพฤติปฏิบัติตาม ทำได้ไหมคะ ไม่มีข้อห้ามเลย ต้องไปบอกใครไหมว่า เรามีศีลมากกว่านั้นอีก เราเที่ยวไปเก็บเล็กเก็บน้อยจากพระวินัยมาประพฤติปฏิบัติ แล้วเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องนับว่าเรามีตั้งเท่านั้น หรือมีตั้งเท่านี้ แต่สิ่งใดที่ดีงามที่ทรงบัญญัติไว้สำหรับพระภิกษุ คฤหัสถ์ที่เห็นสมควรจะกระทำตามได้ก็ทำ โดยที่ว่ายังเป็นเพศของคฤหัสถ์ แล้วก็ไม่จำเป็นที่จะต้องไปบอกใครว่า มีการกระทำที่เป็นไปตามพระวินัยเพิ่มขึ้น เป็นศีลข้อนั้นข้อนี้ เพราะว่าทั้งหมดของพระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของการขัดเกลา

    ที่ใช้คำว่าพระวินัยเป็นรากแก้วของพระศาสนา แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่เป็นไปเพื่อการขัดเกลา พระธรรมทั้งหมดไร้ประโยชน์ เป็นไปเพื่อความมานะ ความสำคัญตน แล้วก็ไม่ได้มีความงอกงามเจริญในพระธรรม เพราะว่าไม่ได้ขัดเกลา ใครก็ตามที่จะศึกษาพระธรรม มีความรู้มาก มีความแตกฉาน หรือจะถึงความเป็นพระอริยบุคคลก็ตาม ไม่เป็นไปเพื่อการอวด หรือไม่เป็นไปเพื่อลาภ สักการะ

    ด้วยเหตุนี้พระศาสนาจึงดำรงมั่นคงอยู่ได้ เมื่อเป็นไปด้วยการละ แต่ถ้าเริ่มที่ผู้หนึ่งผู้ใดไม่เป็นไปเพื่อการละ มีความสำคัญตนในความรู้ มีความสำคัญตนในการบรรลุธรรม มีความสำคัญตนในตำรับตำรา มีความสำคัญตนในการมีบุคคลที่นับถือยกย่อง ผู้นั้นเหมือนตายจากพระธรรมวินัย ไม่มีการที่จะงอกเงยได้ เพราะเหตุว่าไม่ได้ขัดเกลา

    ด้วยเหตุนี้พระพุทธศาสนาจะยั่งยืน มีพระวินัยเป็นรากแก้ว ก็เพราะเหตุว่าเป็นเครื่องขัดเกลายิ่งกว่าเพศคฤหัสถ์

    เพราะฉะนั้น สำหรับผู้ที่จะเป็นบรรพชิตต้องมีความสำนึกว่า การที่จะเข้าไปสู่พระธรรมวินัยต่างกับคฤหัสถ์ เหมือนฟ้ากับดิน ทุกอย่างต้องเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอย่างยิ่ง พร้อมที่จะเป็นอย่างนั้นหรือไม่ ถ้าไม่เป็นก็ไม่ใช่บรรพชิต เพราะว่าบรรพชิตไม่ได้อยู่ที่จีวร แต่อยู่ที่พระวินัย ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระวินัย ก็ไม่ใช่บรรพชิต

    ด้วยเหตุนี้เป็นเรื่องที่กาลสมัยก็ผ่านมา ความคิดความอ่านของคนก็ต่างกันไป แต่ผู้ที่จะได้สาระจริงๆ จากพระธรรม และพระวินัย ก็คือผู้ที่ขัดเกลา แล้วถ้าชาตินี้ไม่ขัดเกลา ยังติดโน่น ติดนี่ ติดลาภ ติดยศ ติดสรรเสริญ ติดสักการะ ชาติต่อไปจะเป็นอย่างไรคะ ก็ไม่ได้ขัดเกลา

    เพราะฉะนั้น ไม่เป็นทางที่จะทำให้ศาสนายั่งยืน โดยการที่ว่าไม่ขัดเกลา ผู้ที่จะศึกษาธรรม ถ้ารู้จุดประสงค์จริงๆ ก็คือเพื่อการขัดเกลาเท่านั้น แล้วก็จะได้สาระจากการศึกษาจริงๆ ถ้าเป็นไปอย่างนั้น


    หมายเลข 9813
    18 ส.ค. 2567