เหลือเพียงเฉพาะสิ่งที่ปรากฎ
ผู้ฟัง ขออนุญาตครับ ถ้าดูตามพระไตรปิฎก ก็จะมีแต่ละหมวดต่างๆ แยกกันไป เป็นแต่ละบรรพ อย่างเช่นการกำหนดในกาย เช่นเขาจะยกว่า คัจฉันโต วา คัจฉา มีติ ปชานาติ เมื่อเดินอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเดินอยู่
ท่านอาจารย์ ถูกต้อง แต่บอกว่าให้เดินผิดปกติ หรือเปล่า
ผู้ฟัง ถ้าเราระลึก ระลึกเดินนี่
ท่านอาจารย์ หมายความว่าขณะที่เดิน ถ้าสัมมาสติเกิดก็มีลักษณะของนามธรรมหรือรูปธรรมซึ่งปัญญาต้องรู้ก่อนว่า รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ถ้ากระทบกายมีลักษณะที่อ่อนหรือแข็ง เย็นหรือร้อน ตึงหรือไหวเท่านั้น ทั้งตัวหายไปหมดเลย เหลือแต่เฉพาะลักษณะที่สติกำลังระลึกเท่านั้น เพราะว่ารูปเกิดดับเร็วมาก ๑๗ ขณะไม่มีอะไรเหลือ เคยถามหลายครั้ง ขณะนี้มีฟันไหมคะ มีหรือไม่มี คะฟัน
ผู้ฟัง ไม่มี
ท่านอาจารย์ ไม่มี ใช่ไหมคะ ใครว่ามีบ้าง ถ้าบอกว่ามี จะถามต่อว่ามีเมื่อไร ฟัน มีเมื่อไร
ผู้ฟัง เมื่อนึกถึงฟัน
ท่านอาจารย์ นึกถึง หรือว่ากระทบสัมผัส
ผู้ฟัง เอาเคาะๆ กัน
ท่านอาจารย์ เคาะๆ กันนั้นฟันหรือแข็ง เพียงแค่แข็ง ก็นึกถึงฟันแล้ว แล้วยังจำได้ว่าเรามีฟัน เพราะฉะนั้น ความเป็นเราจะเหนียวแน่นสักแค่ไหน ทั้งๆ ที่ไม่มีเลย แต่จำไว้ว่า มี คนที่ถูกตัดขาออก แรกๆ เขาก็ยังคิดว่า ขาเขายังอยู่ เพราะเขาเคยมีขา แล้วเขาก็จำได้ว่ามีขา พอขาถูกตัดไป ทั้งๆ ที่ไม่มีแล้ว ก็ยังจำว่ายังมีขาอยู่ ฉันใด รูปเกิดดับเร็วมาก หมดไปทุกขณะ รูปใดที่ไม่ปรากฏ รูปนั้นเกิดแล้วดับแล้ว อย่างเสียงในป่า เสียงเกิดขึ้นเพราะการกระทบกันของวัตถุที่แข็งกระทบกันเมื่อไร เสียงก็ปรากฏขึ้นเมื่อนั้น มีคำถามว่าแล้วเสียงในป่ามีไหม ทั้งๆ ที่ไม่ได้ยิน แต่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงว่า เมื่อมีปัจจัย ของสิ่งใดที่จะเกิด สิ่งนั้นก็เกิด แต่เสียงดับไหม ถึงแม้ว่าเกิดแล้ว เสียงก็ดับ
เพราะฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ปรากฏ แม้มีก็เหมือนไม่มี เพราะเหตุว่าเกิดแล้วดับแล้ว เวลานี้ต้องเปลี่ยนความทรงจำจากรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีครบทุกอย่าง ทั้งฟัน ทั้งตา ทั้งผม ทั้งเล็บ อะไรทั้งหมด จริงๆ แล้วเหลือเพียงชั่วขณะจิตที่กำลังมีรูปนั้นเป็นอารมณ์ รูปอื่นไม่มีเลย ไม่ปรากฏเลย ไม่เหลือเลย
นี่คือความรวดเร็วของสภาพธรรมที่เกิดดับ การที่จะหมดความเป็นตัวตนได้ ไม่ใช่ยังคงมีรูปตั้งแต่ศีรษะตลอดเท้าด้วยความทรงจำ เพราะจริงๆ จำไว้หมดเลย ทั้งๆ ที่ไม่เห็น ไม่ปรากฏ จำว่ามี ตั้งแต่ผม ไปจนถึงเล็บ เท้า ปลายเท้าเลย แต่ว่าตรงแข็ง ส่วนหนึ่งส่วนใดที่กระทบสัมผัส ตรงนั้นต่างหากที่เกิดแล้วดับ ที่ปัญญาสามารถจะรู้ได้ ว่า ขณะนั้นสภาพธรรมใดเกิด สภาพธรรมนั้นดับ ตรงอื่นไม่ได้ปรากฏเลย
เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะรู้อย่างนี้ มีอัตตสัญญา ในพระไตรปิฎกมีไหมคะ อัตตสัญญา ความทรงจำว่ามีเรา แต่อบรมเจริญไปเพื่อละอัตตสัญญา เพื่อให้มีความเห็นที่มั่นคงถูกต้องในอนัตตสัญญา ทั้งตัวนี้จะย่อลงไปจนหมด เหลือเพียงเฉพาะสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งไม่ใช่แขน ไม่ใช่ขา ไม่ใช่เท้า ไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ถ้าเป็นแข็งก็คือแข็งกับธาตุที่กำลังรู้แข็ง จึงไม่มีเรา ถ้ามิฉะนั้นก็ยังต้องมีเราอยู่
ก็พิจารณาดูว่า ความจริงเป็นอย่างไร ความไม่รู้กับความยึดมั่นเป็นอย่างไร แล้วจะยังคงมีความยึดมั่นอย่างนี้อยู่ตราบใดที่ยังไม่สามารถจะรู้ลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง แต่ละอย่าง โดยสติสัมปชัญญะเกิด ไมใช่โดยเราไปนั่งทำอะไร เพื่อที่จะให้เห็น แต่การที่สภาพธรรมจะปรากฏได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อปัญญาอบรมเพิ่มขึ้นจนกระทั่งคลายอัตตสัญญา แล้วก็รู้จริงๆ ว่า สภาพธรรมเป็นสภาพธรรม ไม่ใช่ใคร