ต้องรู้ลักษณะจริงๆไม่ใช่รู้ชื่อ
ผู้ฟัง สงสัยอีกอย่างครับ ในกายของพระ มียุคของพระที่พิจารณา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ก็ยังสงสัยว่า ถ้าเรา อย่างเกสา ก็ยังพอเห็นได้อย่างนี้ แต่ถ้าเป็นอวัยวะ ภายใน เป็นอาหาร เป็นอะไร จะเป็นไปได้ไหมครับ ที่จะอยู่ในบรรพนี้ แล้วก็พิจารณาได้ ครับ
ท่านอาจารย์ เชิญคุณสุภีร์ คะ
อ.สุภีร์ อย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าวว่า แล้วแต่อะไรจะปรากฏ แต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงสภาพธรรมตามความเป็นจริง จริงๆ แล้วชื่อต่างๆ เหล่านี้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อะไรก็ดี หรือว่าใช้ชื่อที่ผ่านมาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ มังสัง นหารู อะไรที่อยู่ข้างใน อะไรเหล่านี้ จริงๆ แล้วที่ท่านอาจารย์ได้ถามไปแล้วเมื่อกี้ว่า ฟันมีไหม มีตอนไหน ก็เช่นเดียวกัน เคยคิดไหมครับว่า เรามีหัวใจ ก็ธรรมดา เวลาคิดก็รู้ว่า เป็นแต่สภาพธรรมอย่างหนึ่ง เวลาคิดเรื่องหัวใจ เห็นผมไหมครับ ทุกคนมองไป ผมที่ศีรษะ บางคนก็อาจจะย้อมแดงบ้าง บางคนก็อาจจะขาวหน่อย อะไรอย่างนี้ คิดเรื่องผม เห็นผม เป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา เวลาคิด คิดว่าเป็นผม ก็เป็นความคิดชนิด หนึ่ง ถ้าไม่คิดก็ไม่มีผม ถ้าเห็นก็เป็นแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา สิ่งอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ปอด หัวใจ อะไรต่างๆ เราคิดว่าเรามี มีตอนไหนครับ มีตอนคิด สิ่งที่มีจริง ก็คือความคิดว่ามี ถ้าไม่คิดก็ไม่มี หรือว่าบางท่าน อาจจะไปเห็นเวลาเขาผ่าศพ ผ่าอะไร ตอนนั้นก็มีมองเห็นด้วย ใช่ไหมครับ มองเห็นก็เป็นแต่สิ่งที่ปรากฏทางตา พอเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาก็คิด
เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงๆ ก็คือความคิด เรื่องปอด เรื่องหัวใจ เรื่องอะไรต่างๆ เมื่อมีการคิดอย่างนั้นเกิดขึ้นก็ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า นั่นเป็นความคิดอย่างหนึ่ง ก็คือจิตนั่นเอง ที่เราได้กล่าวถึงว่า เป็นปรมัตถธรรมชนิดหนึ่ง เป็นจิตปรมัตถ์ เป็นวิญญาณขันธ์ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมครบทุกประการ ไม่ว่าใครจะทำอะไร จะคิดอะไร ก็คือสิ่งทั้งหมดทั้งปวงที่เราเคยเป็นอยู่ ที่เคยไม่รู้มากมายเหลือเกิน ให้รู้ทุกๆ ประการ ไม่มีเลือกเลย แล้วแต่อะไรจะปรากฏให้รู้ ก็รู้สิ่งนั้น แล้วแต่มีเหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดขึ้น ปัญญาพอหรือเปล่าที่จะรู้ตามความเป็นจริง
เชิญท่านอาจารย์ครับ
ท่านอาจารย์ ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษาโดยละเอียด ไม่ใช่เพียงแต่อ่าน เพราะว่าอ่านแล้ว ก็เข้าใจผิดได้ อย่างเรื่องของผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ที่มีอยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ธรรมทั้งหมดจะไม่พ้นไปจากการที่ปัญญาสามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นได้ ก็น่าสงสัยว่า ทำไมถึงมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ในมหาสติปัฏฐานด้วย อย่างที่ได้กล่าวถึงแล้ว คำว่า “มหา” กว้างใหญ่ รวมทุกอย่าง ไม่เว้น ก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีผู้ที่แสวงหาทางที่จะหมดจดจากกิเลส แต่เพราะความที่เขาไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้อุทกดาบส อาฬารดาบส ผู้ที่สามารถบรรลุถึงอรูปฌานขั้นที่ ๓ และขั้นที่ ๔ ซึ่งเป็นอรูปฌานขั้นสูงสุด ก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม แต่ว่าสามารถที่จะบรรลุถึงอรูปฌานขั้นสูงสุดก่อนการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็แสดงว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ซึ่งจะเป็นทางที่จะทำให้จิตสงบ เพราะระลึกถึงความเป็นปฏิกูลของผมบ้าง ขนบ้าง เล็บบ้าง ฟันบ้าง หนังบ้าง เล็กน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับความมั่นคงของจิตที่สงบถึงระดับขั้นของอัปปนาสมาธิ ที่ไม่มีรูปเป็นอารมณ์ มีแต่นามธรรมเป็นอารมณ์ ถึงขั้นนั้นก็ยังไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ก็คือผู้ที่พิจารณากาย แล้วก็เห็นส่วนของกาย โดยความเป็นปฏิกูล คือ เราเคยเห็นผมว่าสวย ท่านเหล่านั้นก็มาคิดใหม่ ลักษณะกลมๆ ยาวๆ ตั้งอยู่บนโอกาสที่หนังศีรษะซึ่งปฏิกูล มีอะไรต่ออะไร ถ้าอ่านตามเรื่อง ก็จะเห็นคำอธิบายของวิธีที่ตรึกพิจารณาอย่างไร แล้วจิตสงบ แต่ไม่ได้รู้ความจริง
เพราะฉะนั้น สมถภาวนากับวิปัสสนาภาวนาต่างกัน สมถภาวนามีก่อนการตรัสรู้ เมื่อมีผู้ที่มีปัญญาสามารถที่จะเข้าใจว่า แม้ชีวิตธรรมดาประจำวัน อย่างผม ทุกคนก็มี แต่ว่าติดข้องในผม ทางที่ไม่ติดข้องก็คือว่าระลึกจนกระทั่งเห็นความเป็นปฏิกูล แต่ก็เพียงสงบระงับ ถ้าถึงอุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ก็เป็นฌานจิต แต่ก็ไม่ได้รู้ลักษณะของสภาพธรรมใดๆ ทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้นั้นเคยระลึกถึงผมในลักษณะนั้น แล้วก็ได้ฟังพระธรรม ขณะหนึ่งขณะใดที่สัมมาสติเกิด แม้แต่ขณะที่กำลังระลึกถึงความเป็นปฏิกูล ขณะนั้นก็รู้ในความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล
เพราะฉะนั้น จึงไม่ได้จำกัด ไม่ได้เว้นเลย แต่หัวใจของการอบรมเจริญปัญญา ก็คือว่าสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรม ทางเดียวที่จะละความยึดถือว่าเป็นตัวตน ต่อเมื่อมีปัญญารู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ถ้าไม่รู้ก็ต้องเป็นผมของเราอยู่นั่นแหละ ทุกอย่างก็ต้องเป็นของเรา แต่พอรู้ในลักษณะที่เป็นนาม ลักษณะนั้นเป็นสภาพรู้ ธาตุรู้ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป จะเป็นเราได้อย่างไร เสียง เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มั่นคงเลย จะเป็นเราได้อย่างไร ทุกอย่างที่เกิดดับก็ไม่เป็นเรา
เพราะฉะนั้น เวลาที่อ่านสติปัฏฐาน ต้องรู้ว่า ถ้าขณะนั้นไม่ว่าจะมี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง มีลมหายใจ หรือว่ามีอิริยาบถหนึ่งอิริยาบถใดที่ทรงอยู่ ตั้งอยู่ แล้วรูปในอิริยาบถนั้นปรากฏ ก็จะต้องเพื่อรู้ลักษณะจริงๆ ของนามธรรม และรูปธรรม ถ้ามิฉะนั้น ไม่ใช่สติปัฏฐาน ถ้าไม่รู้ลักษณะที่เป็นปรมัตถธรรม ที่เป็นนามธรรม รูปธรรม ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน