ศึกษาอย่างไรจึงจะถึงตัวจริงของธรรม
ท่านอาจารย์ แต่เราจะมาเจาะจงรู้ว่าแล้วขณะนี้ๆ เป็นปฏิฆะ หรือว่าเป็นโทสะ หรือว่าเป็นพยาปาท ใครสามารถที่จะบอกได้ในเมื่อลักษณะนั้นเป็นอย่างนั้น แล้วความหมายของพยาปาทก็ต่างระดับด้วย แม้ว่าจะใช้พยาปาทสำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระโสดาบัน หรือพยาปาทสำหรับผู้ที่เป็นพระโสดาบัน ลักษณะของพยาปาทก็คือโทสะแต่ว่าก็ต่างขั้น ต่างระดับ
ผู้ฟัง ที่อาจารย์บอกไม่ต้องใช้ชื่อ ศึกษาอย่างไรถึงจะถึงตัวจริงของธรรมเพื่อไม่ต้องใช้ชื่อ
ท่านอาจารย์ คือสภาวธรรมมี โดยที่ว่ามีชื่อต่างๆ ก็จริง แต่เราไม่ควรคิดถึงชื่อในขณะที่สภาวธรรมนั้นปรากฏ ขณะนี้มีเห็น แล้วก็จะไปคิดถึงชื่อจักขุวิญญาณ ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจในสภาวธรรมซึ่งเป็นธาตุรู้จึงเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้
เพราะฉะนั้น ไม่ได้หมายความว่าชื่อไม่สำคัญ แต่ต้องทราบว่าในครั้งอดีต ผู้ที่เข้าใจธรรมจนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็นพระอรหันต์ ความรู้ของท่านกว้างขวางมากมายสักแค่ไหน และยิ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ที่บุคคลอื่นเปรียบไม่ได้เลย อย่างที่ได้กล่าวถึง โคสิงคสาลวัน แก้ปัญหาที่ชาวบ้านต้องไปทูลถามหรือ แต่ความที่ท่านเหล่านั้นรู้ปัญญาของท่านเอง แม้เพียงคำเดียว พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมประการอื่นอีกที่จะทำให้ชัดเจนกว่านี้ กว่าที่ปัญญาของท่านเหล่านั้นคิดหรือเปล่า เป็นเหตุที่ทำให้ท่านไปกราบทูลถาม ฉันใด เวลาที่เราศึกษาพระสูตรหรือพระอภิธรรมก็จะเห็นความหลากหลาย พระปัญญาคุณซึ่งเปรียบเหมือนท้องฟ้ากว้างใหญ่ไพศาล แล้วเรารู้ได้แค่ไหน เข้าใจแค่ไหน เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้จักลักษณะของสภาพธรรม โดยที่ว่าเราได้ยินชื่อต่างๆ มามาก แต่จะให้บอกว่าขณะนั้นที่กำลังโกรธ จะน้อยจะมากยังไงก็ตามเป็นโทสะหรือว่าเป็นพยาปาท นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเราจะต้องคิดถึงระดับของพระโสดาบันหรือเปล่า ที่ท่านก็มีโทสะ และใช้คำว่าพยาปาทด้วย
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องความคิดตลอด แต่ถ้าเราเข้าใจว่าไม่ว่าชื่อไหนๆ ก็คือสภาวธรรมนี้แหละ และเวลาที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ระดับนั้นกำลังปรากฏให้เห็นว่าไม่ใช่ระดับอื่น โดยที่ว่าไม่มีชื่อเข้ามาเกี่ยวข้องเลย หรือว่ายังอยากที่จะรู้ชื่ออยู่ ว่าแล้วท่านเรียกว่ายังไง ก็เป็นเรื่องที่ว่าแล้วแต่ปัญญาของเรา ต้องศึกษาให้รอบรู้จนทั่ว ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ควรศึกษา แต่ควรที่จะเข้าถึงอย่างละเอียดรอบคอบ และก็กว้างขวางลึกซึ้งด้วย แต่ว่าปัญญาของเราจะถึงระดับไหน
ที่มา ...