จะทำอย่างไรเพื่อให้ความผูกโกรธนั้นลดลง


    ผู้ฟัง เราจะไม่ให้เกิดการสะสม เราก็พยายามเลี่ยงเหตุการณ์ลักษณะนั้นออกไป คือไม่ให้เหตุการณ์ลักษณะนั้นเกิดขึ้นอีก น่าจะทำให้ความผูกโกรธหายไปได้ ลดลงไปได้

    ท่านอาจารย์ แล้วเลี่ยงมาแล้วกี่ชาติ แล้วความผูกโกรธ หรือว่าความโกรธในชาติก่อนๆ แล้วเราก็มีนโยบายมีความคิดต่างๆ ที่จะโกรธมากโกรธน้อยมาแล้วกี่ชาติ ทำไมเราไม่อบรมอันนี้ เพราะยังไงๆ ก็ต้องโกรธ ตราบใดที่ยังมีปฏิฆานุสัย

    ผู้ฟัง ไม่ได้นับเป็นวิธีหนึ่ง

    ท่านอาจารย์ เป็นวิธีแน่นอน แต่ไม่สามารถจะดับความโกรธได้เป็นสมุทเฉท และเราก็หาวิธีนั้นอยู่ตลอด ยังคงเป็นเพียงวิธี และถ้าพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดง พระศาสนาใกล้ที่จะอันตรธาน ทางที่จะอบรมปัญญาที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลสได้เป็นสมุทเฉท ไม่มีเหลือเลยแล้วเราจะเสียดายโอกาสไหมที่เรามัวแต่หลีกเลี่ยงหลบ และก็ไม่อบรมปัญญาที่สามารถที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้จริงๆ ว่าเป็นธรรมแต่ละลักษณะ

    ผู้ฟัง จะประพฤติปฏิบัติอย่างไรเพื่อให้ความผูกโกรธนั้นลดลงไปเรื่อยๆ

    ท่านอาจารย์ แสดงไว้ทุกระดับ พระศาสนาพร้อมสมบูรณ์ทั้งในขั้นต้น ท่ามกลาง ที่สุด ตั้งแต่ว่าถ้าโกรธเกิดขึ้น ขณะนั้นสามารถที่จะบรรเทาความโกรธได้เพราะอะไร เพราะตรึกอย่างไร แต่ก็ไม่สามารถที่จะดับได้เป็นสมุทเฉท แล้วคุณวิจิตรต้องการยังไงเวลาที่มีความโกรธเกิดขึ้น เป็นตัวเราที่อยากจะไม่โกรธ พยายามหาทางที่จะให้ความโกรธนั้นลดน้อยลง หรือว่าเข้าใจลักษณะนั้นเพื่อที่ว่าวันหนึ่งความโกรธนั้นก็จะได้ดับเป็นสมุทเฉท นี่คือขณะนี้ที่เราจะรู้ว่าโกรธมีจริงๆ กำลังปรากฏด้วย และใจขณะนั้นต้องการอะไร หรือแม้แต่สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้มีจริงๆ ต้องการที่จะทำเพื่อที่จะให้ประจักษ์การเกิดดับ หรือว่าต้องการสะสมความรู้ซึ่งค่อยๆ เข้าใจลักษณะนี้จนกว่าจะประจักษ์แจ้ง เพราะว่าการที่สภาพธรรมที่เกิดดับจะปรากฏได้กับปัญญาที่ได้อบรมถึงกาลความสมบูรณ์ที่เป็นวิปัสสนาญาณระดับนั้น แต่ต้องเป็นความรู้ตั้งแต่ต้นทีละเล็กทีละน้อย

    แม้แต่ในขณะนี้ที่กำลังเห็น เราจะผลัดเวลาไปอีกไม่ได้ว่าตอนนี้ยัง นั่นก็คือเป็นตัวตนที่ผลัด แต่ถ้ามีความเข้าใจในเหตุปัจจัยว่า สภาวธรรมที่เป็นสติไม่ได้ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ก็ฟังจนกว่าจะเข้าใจ และเวลาที่มีสติเกิดระลึกเป็นปกติแม้นิดเดียว เพราะว่าระหว่างที่กำลังเห็นก็มีสิ่งที่ปรากฏ และก็หลายวาระเหลือเกิน ไม่ต้องไปเจาะจงที่จะให้ไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่ให้ปรากฏว่าเป็นรูปร่างสันฐาน ไม่ถูกต้อง เพราะยังไงๆ ก็ต้องเห็นเป็นรูปร่างสัณฐานเพราะว่าเกิดสืบต่ออย่างเร็ว แต่ก่อนนั้นก็ยังมีกาลซึ่งเริ่มเข้าใจทีละน้อยโดยไม่ต้องกังวลว่าวาระไหน ทางทวารไหนหรืออะไรทั้งสิ้น แต่ในขณะที่สิ่งนี้กำลังปรากฏเริ่มค่อยๆ เข้าใจ เพราะว่าเราสะสมความไม่รู้กับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน นานจนประมาณไม่ได้เกินแสนโกฏิกัปป์ และการที่เราเพิ่งจะค่อยๆ เข้าใจทีละน้อย ก็ลองคิดดูว่ากว่าความเข้าใจของเราจะเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้นว่าหนทางเดียวที่จะเป็นวิปัสสนาญาณได้ก็ต้องมาจากความรู้ความเข้าใจลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยที่รู้ว่าขณะไหนหลงลืมสติ ขณะไหนสติเกิด ซึ่งแม้จะน้อยมาก

    อย่างที่ท่านผู้ฟังท่านก็กล่าวว่า บางครั้งก็เป็นลักษณะของความจงใจ ท่านก็รู้ ความจริงปฏิเสธไม่ได้เลย บางกาลแม้ไม่จงใจ สติก็รู้ตรงลักษณะนั้น จนกว่าจะรู้ว่า แม้ความจงใจที่เกิดนั้นก็เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง หมายความว่าทุกอย่างที่เราศึกษาเป็นสภาพธรรมที่ปัญญาสามารถที่จะอบรม จนกระทั่งละคลายขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ ไม่มีเหลือแม้แต่ความสงสัยหรือความไม่รู้ในความเป็นนามธรรม และรูปธรรม จึงจะถึงกาลที่วิปัสสนาญาณแต่ละขั้นจะสมบูรณ์รู้แจ้งอริยสัจจธรรม แต่ต้องเป็นปัญญาต้องเป็นความเข้าใจที่ผู้นั้นก็รู้ว่าเริ่มจากไหน แต่ไม่ใช่เริ่มจากไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ไปนั่งทำพากเพียรที่จะให้เกิดประจักษ์แจ้งสภาพธรรมตามที่ได้ยินได้ฟัง เป็นไปไม่ได้เลยเพราะว่าเป็นเรื่องของปัญญา

    เพราะฉะนั้น แม้แต่ในขณะนี้ที่คุณวิจิตรกำลังพูดถึงโทสะความโกรธ และมีวิธีไหม วิธีมีแน่ ตรึกยังไง คิดยังไง นึกถึงความดีของบุคคลนั้นหรืออะไรก็แล้วแต่ แต่ว่าคุณวิจิตรต้องการอย่างนั้น หรือว่ามีสติเกิด รู้ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 164


    หมายเลข 9852
    3 ก.ย. 2567