ถึงมีน้อยดีกว่าไม่มีเลย


    ผู้ฟัง ในเรื่องของสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งบอกว่าให้พิจาณากาย เวทนา จิต ธรรม เราพิจารณาอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย พิจารณาอย่างไร นี่ไม่ได้เลย เป็นการอบรมความรู้ความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ใช่หนทางว่า ทำกับข้าวอย่างไร ใส่พริกไทย ใส่เกลือ อย่างนั้นไม่ใช่ ไม่ใช่เป็นเรื่องทำโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นเรื่องทำ คือ เรื่องอัตตา เราทำ แต่ไม่ใช่มีความรู้หรือว่าอบรมความรู้ให้เจริญขึ้น

    เพราะฉะนั้น สติปัฏฐานหรือโพธิปักขิยธรรมเป็นเรื่องการอบรมปัญญาเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่สามารถจะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถ้าเป็นอย่างที่ว่า ใส่เข้าไปในหลักสูตร คือต้องการให้นักเรียนรู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยจากการเพียงรู้ชื่อ

    ผู้ฟัง หลักวิธีการของอาจารย์ เลื่อมใสมาก เพราะว่ามันคือธรรมชาติของชีวิต ให้เราเข้าใจหลักวิทยาศาสตร์ มีหลายๆ อย่างที่สงสัย ในเรื่องการแผ่เมตตา หรืออะไรต่างๆ ที่ไม่ยอมเข้าวัดก็มีเหตุผลคล้ายๆ ที่อาจารย์ถามว่า มันทำได้จริงหรือเปล่า ก็อยู่ในใจ หลังจากได้ฟังวันนี้แล้วก็ทำให้กลับไปสอนได้ดีขึ้น ก็กราบขอบพระคุณค่ะ

    ท่านอาจารย์ ก็คงจะเป็นอย่างนี้ ทุกท่าน เข้าใจแล้วก็กลับไปสอนให้เข้าใจดีขึ้น ยิ่งทำให้คนสนใจที่จะศึกษาเพิ่มขึ้น บนสวรรค์ทุกชั้นมีศาลาสุธรรมา ศาลาฟังธรรม สวรรค์ทุกชั้น ในมนุษย์ก็มีที่ฟังธรรม แล้วแต่ใครจะมาฟัง หรือใครจะไม่มาฟัง

    เพราะฉะนั้นในมนุษย์ก็ยังมีการศึกษาธรรม คิดว่าต้องฟังเทวดาพูดถึงจะเข้าใจได้ หรืออย่างไร คอยเทวดาสอน หรือว่าธรรมเป็นความจริง ใครจะกล่าวก็ได้ ไม่คิดถึงตัวบุคคลเลย แต่คิดถึงสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังว่า เป็นเหตุผลหรือไม่เป็นเหตุผล

    ผู้ฟัง คือไม่ได้คอยเทวดาสอน อย่างท่านวิสาขา เพราะท่านบรรลุแล้ว อยากจะถามว่าทำอย่างไรถึงจะบรรลุได้

    ท่านอาจารย์ ไม่พ้นจากที่ทรงแสดงไว้เลย สติปัฏฐาน ต้องเข้าใจ ต้องรู้ลักษณะของสภาพธรรม เพียงแค่นี้เราก็เริ่มมองเห็นแววแล้ว ถ้าจะเป็นพระอริยบุคคลรู้อะไร หรือว่าไม่รู้อะไรเลยก็เป็นพระอริยบุคคลได้

    ผู้ฟัง บุคคลใดก็ตามเจริญรอยตามมรรค ๘ โลกนี้จะไม่เว้นว่างจากอรหันต์ ผมจำได้ว่าเพราะเคยอ่าน

    ท่านอาจารย์ ถ้าอบรมเจริญตาม เพราะฉะนั้น ตามหรือไม่ตาม ใครรู้ ต้องเป็นปัญญาที่รู้ ถ้าไม่ใช่ปัญญาก็รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราต้องมีปัญญาตามลำดับ ที่จะรู้ว่าอริยมรรค ๘ คืออะไร ต่างกับสติปัฏฐานหรือเปล่า หรือไม่ต่างกัน

    เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ แล้วเราจะเชื่อตามพระองค์ไหมคะว่า ทำไมไม่ทรงแต่งตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาแทนพระองค์ ในเมื่อสมัยโน้นก็มีพระภิกษุที่เป็นอรหันต์มากมาย ท่านพระมหากัสสปะก็ยังอยู่ ท่านพระอานนท์ก็ยังอยู่ พระอริยบุคคลมากมาย ก็ไม่ทรงตั้งบุคคลใดเป็นศาสดาเลย เพราะว่าพระธรรมที่ได้ทรงแสดงไว้ดีแล้วนั่นแหละเป็นศาสดา ทุกยุคทุกสมัย เพราะว่าแต่ละคนก็ต้องจากโลกนี้ไป และอะไรจะเหลือ ถ้าแต่งตั้งเป็นบุคคล แต่คำสอนที่ได้ทรงแสดงไว้แล้วนั่นแหละจะเป็นศาสดาแทนพระองค์

    ถ้าใครศึกษาคำสอนก็สามารถที่จะเข้าใจความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ค่อยๆ เห็นพระคุณจริงๆ ไม่ใช่เพียงแต่กราบไหว้บูชา แต่ไม่รู้ว่าพระคุณที่สวดสรรเสริญนั้น คืออะไร

    เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราเป็นผู้ตรงขึ้นต่อพระธรรมที่จะรู้ว่าถูกคืออย่างไร ไม่ถูกคืออย่างไร

    ผู้ฟัง แต่ผมยังกลัวว่า ในขณะที่เราสอนในกลุ่มน้อย ในระดับโรงเรียน แต่ พฤติกรรมของสังคม คนเรามันห่างไกลพระรัตนตรัย ขาดความเชื่อถือพระรัตนตรัยตามหลักอุบาสก อุบาสิกา มันจะสู้กระแสมันได้หรือเปล่า แล้วจะรออีกกี่ปีกี่ชาติที่มันจะเห็นตรง เห็นดี เห็นงาม อย่างนี้ ตรงกับพระธรรมของอาจารย์นี้

    ท่านอาจารย์ ถึงมีน้อยก็ดีกว่าไม่มีเลย


    หมายเลข 9858
    18 ส.ค. 2567