กุศลที่ให้ผลทันที
ผู้ฟัง พอดีสงสัย อย่างนิพพานเป็นอสังขตธรรม ไม่มีเหตุปรุงแต่ง แล้วเวลาเราทำบุญ ทำทาน แล้วให้เป็นปัจจัยแก่พระนิพพานในอนาคตกาลโน้นเทอญ เจริญมรรค ๘ เจริญไปถือเป็นเหตุหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ ไปไหน ไปไม่มีจุดไม่ได้ ใช่ไหมคะ
ผู้ฟัง ที่เจริญว่าจะให้ไปนิพพาน จะถือว่าเป็นเหตุไปถึงนิพพานหรือเปล่าครับ เพราะฉะนั้น นิพพานก็ต้องมีเหตุให้ถึงหรือเปล่าครับ
ท่านอาจารย์ การอบรมเจริญปัญญาตั้งแต่ขั้นการฟังเพื่อละความไม่รู้ เพื่ออบรมปัญญาที่สามารถที่จะเห็นนามธรรม และรูปธรรมตามความเป็นจริง จนสามารถที่จะละความติดข้อง จึงจะประจักษ์แจ้งในธาตุอีกอย่างหนึ่งซึ่งต่างกับธาตุที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม ที่เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้น สภาพของนิพพานอย่างเดียวที่สามารถจะทำให้ดับกิเลสได้ เมื่อปัญญาสามารถรู้แจ้งลักษณะของนิพพาน โลภะติดข้องในทุกสิ่งทุกอย่างที่มี โลภะติดในกุศลได้ไหมคะ กุศลของเรา เรามีกุศลเยอะ เราอยากจะทำกุศลมากๆ ด้วยความต้องการ
เพราะฉะนั้น ธรรมทั้งหมดสามารถเป็นที่ตั้งของโลภะ เป็นที่ยึดถือของโลภะได้ เว้นนิพพาน เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีนิพพาน ดับกิเลสใดๆ ไม่ได้เลยทั้งสิ้น แต่เพราะเหตุว่า นิพพานเป็นปรมัตถธรรมที่มีจริง แต่ว่าจะสามารถรู้แจ้งได้ด้วยปัญญาที่ถึงขั้นที่สามารถจะรู้นิพพานได้ จึงจะมีนิพพานเป็นอารมณ์ขณะใด ขณะนั้นก็จะเป็นโลกุตตรจิตที่ดับกิเลส ได้แก่ โสดาปัตติมรรคจิต ซึ่งเป็นโลกุตตรกุศลระดับแรก เป็นปัจจัยให้เกิดโสดาปัตติผลซึ่งเกิดสืบต่อทันที กุศลใดๆ ที่ทำ ไม่สามารถที่จะให้ผลทันทีได้ เว้นโลกุตตรกุศล เพราะว่าจิตเกิดดับสืบต่อ ไม่มีระหว่างคั่นเลย จิตขณะนี้ดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด ถ้าเป็นกุศลจิตที่ได้กระทำ เช่นในวันนี้ที่ได้ศึกษาธรรม ได้เข้าใจธรรม เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา ยังไม่ได้ให้ผลทันที กุศลทั้งหลายไม่ได้ให้ผลทันทีที่กุศลนั้นดับไป เว้นโลกุตตรกุศล คือเวลาที่โสดาปัตติมรรคจิตเกิดแล้วดับไป โสดาปัตติผลจิตต้องเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่นเลย เพราะว่าโสดาปัตติมรรคจิต เป็นการดับกิเลส
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นจิตที่จะทำให้ปฏิสนธิ ทำให้เกิดผล คือ ปฏิสนธิ โสดาปัตติผลจิตไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ เหมือนอย่างกับวิบากของกุศลอื่นๆ ที่ทำกิจปฏิสนธิได้ ทำกิจภวังค์ได้ แต่ว่า พวกโลกุตตรวิบากซึ่งเป็นผลของโลกุตตรกุศล ไม่ได้ทำกิจที่ทำให้ปฏิสนธิ แต่ดับการเกิดในอบายภูมิ แล้วก็ดับการเกิดจนกระทั่งไม่มีการเกิดอีกเลย เมื่อถึงความเป็นอรหัตตมรรค มีจริง ต้องอบรม เพราะว่าผู้ที่ได้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นอริยสัจมีมากมายนับไม่ถ้วนในครั้งอดีตกาล ท่านเหล่านั้นก่อนที่จะถึงระดับนั้นก็เหมือนเรา จากความไม่รู้ ก็ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ รู้ จนกระทั่งถึงระดับขั้นที่รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ จากความเป็นปุถุชนสู่ความเป็นกัลยาณปุถุชน แล้วก็อบรมเจริญปัญญาจนกระทั่งประจักษ์ความจริงของสภาพธรรม