ไม่ใช่เรียนแล้วกิเลสหมด


    ไม่ใช่ว่าเรียนแล้วกิเลสหมด เพียงแค่นี้กิเลสหมดไม่ได้เลย ยิ่งเรียนยิ่งเห็น การที่กิเลสจะหมดไปได้นาน แล้วก็จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง การที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ใช่ขั้นแรกเป็นพระอรหันต์ ซึ่งส่วนใหญ่คนจะเข้าใจผิด คิดว่าพอเรียนธรรม แล้วหมดโลภ หมดโกรธ หมดหลง บางคนก็ยังบอกว่า เรียนธรรมแล้วทำไมยังโกรธ ทำไมยังโลภ นั่นคือเขาไม่เข้าใจเลยว่า กว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ ปัญญาจะต้องสะสมไปมากมายหลายขั้นตามลำดับ ขั้นวันนี้ที่ฟัง มีความรู้จากสิ่งที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อนเลยเท่านั้น ไม่ใช่ดับกิเลส ทำอะไรกิเลสไม่ได้เลย แล้วยิ่งเรียนยิ่งรู้ กว่าจะละกิเลสได้แสนยาก แต่ว่าเริ่มที่จะรู้จักสิ่งที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ให้เข้าใจขึ้น แล้วก็จะเป็นผู้ที่ตรง คือว่าอย่างความโกรธเป็นใคร แล้วก็เป็นของใคร ลักษณะของความโกรธ คือ ความรู้สึกที่ไม่แช่มชื่นเลย เป็นทุกข์เวลาที่เกิดความโกรธขึ้น ไม่ว่าใครอยู่ตรงไหนทั้งนั้น เวลาโกรธจะเป็นสุขไปไม่ได้ แล้วเวลาที่โกรธหมดไป ความรู้สึกเฉยๆ ก็มี หรือความรู้สึกดีใจก็มี

    เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัยทำให้เกิดขึ้น เวลาที่เราเรียนทางโลก เราอาจจะรู้ว่า หลายสิ่งหลายอย่างต้องเกิดขึ้นเพราะสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่นั่นยังน้อย แต่ตามความจริงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ ในพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นมาได้ลอยๆ จะต้องมีเหตุปัจจัยอย่างละเอียดมากที่จะทำให้เกิดขึ้น แล้วเกิดขึ้นชั่วขณะที่แสนสั้นแล้วดับ อันนี้ใครรู้ ไม่สามารถที่จะรู้ได้ ถ้าไม่ประจักษ์ความจริง ซึ่งกว่าจะประจักษ์ ไม่ใช่บุคคลนั้นจะไม่มีความโลภเลย พระโสดาบันเพียงแต่ละความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เที่ยง อย่างที่เคยเข้าใจมาก่อน แต่ว่าสามารถที่จะเข้าใจความจริงว่า ธรรมเป็นธรรม มีเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับไป แล้วก็สามารถที่จะรู้ลักษณะของพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ดับกิเลส แต่ว่าผู้นั้นเป็นผู้ตรง พระโสดาบันรู้ว่า ท่านไม่ใช่พระสกทาคามี ท่านไม่ใช่พระอนาคามี ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ แสดงว่ากิเลสมีมากที่จะต้องอาศัยปัญญาที่เพิ่มขึ้นอีกถึงจะดับกิเลสได้

    เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มีความเห็นผิด แต่ยังมีโลภะ ก็ยังคงจะมีการที่จะพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัส อาหารก็อร่อย ทางตาทุกอย่างก็สวย ทางหูก็เสียง เพราะฉะนั้นก็เหมือนคนธรรมดา แต่ว่าเขาไม่ทุจริต ไม่ล่วงศีล ๕ เพราะเหตุว่าเมื่อได้รู้ สภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรม เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เจตนาที่จะเบียดเบียนไม่มี ที่จะกระทำทุจริตไม่มีเลย แล้วอย่างนี้โลกจะเจริญไหม ในเมื่อเขายังเรียนวิชาอะไรก็ได้ เขาจะทำอะไรก็ได้ทั้งหมด แม้แต่พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ท่านก็ยังคงเป็นพระเจ้าพิมพิสาร มหาเสนาบดีของเมืองเวสาลีเป็นพระโสดาบันก็ยังคงทำหน้าที่ของมหาเสนาบดี แต่ว่าไม่มีการทุจริต

    เพราะฉะนั้น ถ้าใครก็ตามศึกษาธรรมเข้าใจขึ้น ความเบียดเบียนคนอื่นจะน้อยลง ความเห็นแก่ตัวก็น้อยลง โลกจะเจริญขึ้นอีกมาก


    หมายเลข 9874
    18 ส.ค. 2567