สติทุกระดับ


    ผู้ฟัง อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายถึงความต่างของหลงลืมสติกับมีสติเป็นขั้นสติปัฏฐาน หรือเป็นสติปัญญาแค่ขั้นระดับต่ำลงมา

    ท่านอาจารย์ ส่วนใหญ่ที่พูดหมายความถึงสติปัฏฐานเพราะว่าเป็นการรู้ลักษณะ แต่ตามที่คุณฟองจันทร์พูดหมายความถึงอยากจะรู้ หรือเข้าใจลักษณะของสติทุกระดับ

    สติไม่เกิดกับอกุศลเลย เป็นสภาพธรรมที่เป็นโสภณฝ่ายดีงาม จะไม่เกิดกับอกุศล เพราะฉะนั้นวันหนึ่งๆ วันนี้กุศลจิตเกิดบ้างแล้วหรือยัง เกิดมากไหม เกิดบ่อยไหม ขณะไหนเป็นกุศล พอตื่นขึ้นมาเป็นกุศลหรือยัง ถ้ามีการฟังพระธรรม ขณะนั้นก็มีศรัทธาที่จะได้ยินได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่สามารถจะทำให้เข้าใจชีวิตหรือเข้าใจสิ่งที่มีในชีวิตทุกขณะนี้ได้ตามความเป็นจริง ขณะนั้นมีศรัทธา ศรัทธาไม่ใช่สติ แต่เป็นโสภณเจตสิก ขณะนั้นเป็นกุศล เมื่อมีศรัทธาเกิด สติเกิดร่วมด้วย แต่ว่าลักษณะใดจะปรากฏ จิต ๑ขณะจะมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยอย่างน้อยที่สุด ๗ ประเภท ถ้าเป็นอกุศลก็มีมากกว่า ๗ ถ้าเป็นโสภณฝ่ายดีงาม ก็มากกว่าขณะที่เป็นอกุศล

    เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้ว่าแม้มีศรัทธา แม้มีหิริโอตตัปปะ สติ อโทสะ อโลภะ ลักษณะเหล่านี้ไม่ได้ปรากฏ แต่สติเกิดกับโสภณจิตคือจิตที่ดีงามทุกประเภท นี่เป็นเหตุที่ว่าการฟัง เราเข้าใจเรื่องสภาพธรรม แต่ไม่รู้จักตัวธรรมเลยถ้าสติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานไม่เกิด

    เพราะฉะนั้น ก็มีกุศลหลายระดับ ขั้นทาน การที่เราสละสิ่งที่เรามีเพื่อประโยชน์สุขแก่คนอื่นโดยไม่หวังสิ่งใด ทานก็มีหลายอย่าง แต่ก็คงจะได้กล่าวกันไปบ้างแล้ว หรือฟังกันไปบ้างแล้ว แต่ให้ทราบว่าขณะใดที่มีการให้ ขณะนั้นก็เป็นทานคือให้บุคคลอื่นเพื่อประโยชน์สุขแก่บุคคลอื่นขณะนั้นเป็นกุศล เป็นสติด้วย เพราะว่าต้องมีสติในขณะนั้น ขณะที่วิรัติทุจริตก็ต้องมีสติเกิดร่วมด้วยกับโสภณเจตสิกอื่นๆ ขณะที่จิตสงบเพราะเกิดระลึกได้ พอโกรธเกิดระลึกได้ว่าไม่มีประโยชน์เลย ประโยชน์อยู่ที่ไหน อยู่ที่ใครเวลาที่โกรธเกิด อยู่ที่เขาก็ไม่ใช่ อยู่ที่เราก็ไม่ใช่ แล้วโกรธเนี่ย โกรธทำไม ในเมื่อโกรธก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าเกิดระลึกได้อย่างนี้ ก็เป็นสติอีกระดับหนึ่ง ขั้นสงบจากอกุศล จะใช้คำว่า“สมถะ” ก็ได้ เพราะว่ากุศลทุกประเภทสงบ แต่ก็ไม่รู้ลักษณะขณะนั้นว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่าง เพราะฉะนั้นเวลาที่จะเป็นสติอีกระดับหนึ่งซึ่งไม่ใช่ขั้นทาน ขั้นศีล ก็จะต้องเป็นขั้นที่เห็นโทษของอกุศล แล้วก็อบรมเจริญกุศลที่เป็นการภาวนา คือให้มีบ่อยๆ เพราะว่าวันหนึ่งๆ กุศลก็เกิดน้อย โอกาสที่จะให้ทานก็น้อย โอกาสที่จะวิรัติทุจริตก็น้อย แต่จิตใจก็เกิดดับเป็นอกุศลอยู่ตลอด

    เพราะฉะนั้น ถ้าจะให้เป็นกุศลประเภทอื่นที่ไม่ใช่ทาน ศีล ก็จะต้องเป็นระดับความสงบของจิต เช่น เมตตา จริงๆ แล้วถ้าเราไม่รู้ลักษณะของเมตตา เราก็อบรมเจริญเมตตาไม่ได้เลย อย่างบางคนก็เหมือนกับว่ามีเมตตา แต่พอใครกระทบ ไม่ชอบคนที่มากระทบเลย นั่นก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่เข้าใจเมตตาจริงๆ จะไปท่องหรือจะไปคอยโอกาสที่คิดว่าจะเจริญ หรือการที่นึกถึงบ่อยๆ ก็ไม่ใช่เมตตาจริงๆ เมตตาจริงๆ คือไม่ว่าจะพบใคร สิ่งที่มีชีวิต แล้วก็ไม่เกิดโทสะ ไม่เกิดมานะ ไม่เกิดอกุศลประเภทใดๆ ทั้งสิ้น และขณะนั้นก็มีความเป็นเพื่อน มีความหวังดีพร้อมจะเกื้อกูล ขณะนั้นก็เป็นระดับความสงบของจิต แต่ดับกิเลสไม่ได้เป็นสมุทเฉทแต่ก็มีสติระดับหนึ่ง

    เพราะฉะนั้น สติที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล มีปัจจัยเกิดแล้วก็ดับ นี่เป็นเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ทุกระดับตั้งแต่ขั้นต้นจนถึงขั้นสูงสุด


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 166


    หมายเลข 9883
    3 ก.ย. 2567