ศึกษาพระสูตรเพื่ออะไร


    ณ พระวิหารเชตวัน ผู้ฟังชื่นชมในพระภาษิต แล้วในยุคนี้สมัยนี้ ข้อความเดียวกัน ชื่นชมหรือเปล่าคะ

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำไม่ใช่พอได้ยินว่า ใครถาม แล้วคำตอบคืออะไร แล้วชื่นชม เป็นไปไม่ได้เลย ต้องเป็นผู้ตรงว่า ท่านกล่าวถึงใคร ผู้ที่ดับกิเลสแล้ว ผู้ที่มั่นคง วางเฉยไม่หวั่นไหวในทุกสิ่งทุกอย่าง กว่าจะถึงอย่างนั้นได้ ต้องเข้าใจจริงๆ

    ด้วยเหตุนี้ก่อนอื่นเวลาศึกษาธรรมต้องทราบว่า พระสูตรลึกซึ้งโดยอรรถ ไม่ใช่ใครเพียงแต่อ่านจบพระสูตรแล้ว สูตรนี้อ่านแล้วจบแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นเลย แต่ความเข้าใจในขณะที่กำลังได้ฟังมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่ในขณะอื่น ต้องในขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจ

    เพราะฉะนั้น แม้แต่คำแรก ต่อๆ ไปทีละคำ เข้าใจคำนั้นๆ มากน้อยแค่ไหน ประโยชน์อยู่ตรงนี้ ไม่ใช่ประโยชน์อยู่ที่เราได้ฟังพระสูตรนี้จบแล้ว ชื่นชม ยังชื่นชมไม่ได้แน่ ถ้ายังไม่เข้าใจอย่างละเอียดจริงๆ

    เพราะฉะนั้น สำหรับเราเป็นใคร ต้องไม่ลืม เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน หรือเพียงพูดถึงเพื่อเริ่มเข้าใจซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้ถึงลักษณะที่แท้จริงของแต่ละคำที่ได้ยินแล้ว เช่นสิ่งที่มีขณะนี้เป็นธรรม ทั้งหมดที่ตรัสตอบเป็นธรรมทั้งหมด แต่คนที่ยังไม่เข้าใจเลย ก็มีความเป็นตัวตน ไม่ใช่เข้าใจธรรม

    เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้พระผู้มีพระภาคตรัสถึงสภาวะ หรือสภาพธรรมของผู้ที่ได้เข้าใจแล้ว จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ แต่ผู้ฟังยังไม่ถึง เพราะฉะนั้น มีหนทางเดียว คือ ไม่ประมาท แล้วคิดว่า แม้จะอ่านพระสูตรจบ ไม่เข้าใจจริงๆ ทั้งหมด เพียงแต่เข้าใจอะไรบ้าง และเข้าใจแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น แต่ละคำสำคัญกว่าการที่จะได้ฟังทั้งหมด แล้วคิดว่า พระสูตรนี้ก็อ่านแล้ว จบแล้ว แต่เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่กำลังปรากฏมีแค่ไหน

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่กำลังปรากฏสำคัญที่สุด ยากแสนยากที่จะเข้าถึงความจริง ทั้งๆ ที่ทรงแสดงความจริงโดยประการทั้งปวง เป็นสิ่งที่มีจริง ก็ฟังได้แค่นี้ เป็นสิ่งที่เป็นธาตุซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ก็ฟังได้แค่นี้ แต่ตัวธาตุจริงๆ และสิ่งที่มีจริงซึ่งกำลังเป็นอย่างที่ได้ตรัส คือเกิดขึ้นแล้วดับไป ยังเข้าไม่ถึง

    เพราะฉะนั้น ก็จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่า เหตุใดทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา เพื่อให้ค่อยๆ ที่จะตรึกเรื่องอื่น หรือคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่สำคัญ ก็มาฟังธรรมด้วยความเคารพว่า ขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏ แต่ก็ยังไม่ได้เข้าใจจริงๆ เพราะเหตุว่าเป็นสภาพธรรมที่ลึกปานใดที่จะถึงได้ ต้องด้วยปัญญาเท่านั้น

    เพราะฉะนั้น ขณะนี้การฟังก็เป็นหนทางให้รู้ว่า การเข้าใจพระสูตรนี้ ผู้ใดเป็นอย่างนี้ ผู้ใดเป็นภิกษุคือใคร ก็คือต้องรู้คุณธรรมของบุคคลนั้นว่า เป็นอย่างนั้นได้เพราะอะไร ถ้าไม่เข้าใจ ไม่มีทางเป็นไปได้เลย ต้องเป็นความเข้าใจ ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ปัญญา เท่านั้นที่จะค่อยๆ เกิดขึ้น ก็เป็นผู้ตรง ไม่ประมาท ฟังแล้วก็ฟังอีก แล้วก็รู้ว่า สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมีค่า เพราะสามารถทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีตามความเป็นจริง

    เห็นไหมคะ กำลังเห็น ความเป็นจริง คือ ที่ทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ถ้าผู้ยังไม่รู้ และไม่เข้าใจเห็น กำลังเห็น เป็นเพียงเห็น แต่ไม่รู้ว่า เห็นคืออะไร

    เพราะฉะนั้น ความลึกซึ้งของธรรมก็คือตราบใดที่ยังไม่รู้ปิดกั้น มีโลภะ ความติดข้องเพิ่มการปิดกั้นไปอีก แล้วก็เห็นมาเท่าไร เพราะฉะนั้น ความปิดกั้นจะมากเท่าไร กว่าจะค่อยๆ ลอก ชำระล้างสิ่งที่ปิดกั้น จึงสามารถเห็นความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏตามลำดับ

    นี่คือประโยชน์ของการฟัง และหนทางที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริงว่า ฟังเพื่อไม่ลืมคำที่ได้ฟัง ฟังเพื่อให้รู้ว่า คำที่ได้ฟังทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้

    เพราะฉะนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ แต่ว่ามีจริงเมื่อกำลังฟังเข้าใจ ต่างกันแล้วใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ก็จะรู้ว่า เป็นการอบรมให้เข้าใจถูกต้อง และต้องอาศัยขณะที่จิตเป็นกุศลมากขึ้น เพราะมิฉะนั้นแล้วอวิชชา ความติดข้องก็จะปิดกั้นเพิ่มขึ้นด้วย

    เพราะฉะนั้น เกือบจะไม่ต้องคิดถึงเลยว่า แต่ละข้อ ๒๐ หรืออะไรอย่างนี้ เราเข้าใจมากน้อยแค่ไหน เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เข้าใจมากน้อยแค่ไหน ผู้ที่รู้ความจริงดับกิเลสถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่จะไม่รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้

    เพราะฉะนั้น ความห่างไกลของขณะที่เริ่มฟังเข้าใจ แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้นเพื่อละความไม่รู้ จนกว่าจะถึงข้อความที่ได้ตรัสซึ่งเป็นความจริง ก็คือไม่ต้องไปคิดถึงคนในพระไตรปิฎกสมัยนั้น ไม่ใช่เรา ใช่ไหมคะ ท่านรู้แล้ว หมดกิเลสแล้ว แต่ขณะนี้เป็นธาตุไม่รู้ซึ่งสะสมมา แล้วก็มีธาตุที่กำลังฟัง ได้ยิน พิจารณา ไตร่ตรอง เริ่มเข้าใจจนกว่าความเข้าใจนั้นจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น


    หมายเลข 9893
    30 ธ.ค. 2566