ปรากฏดีโดยส่วนเดียว
ขณะนี้เรามีแขน มีขา แต่ถ้าสภาพธรรมปรากฏ จะเป็นแขนเป็นขาได้ไหม ไม่ได้ ต้องมีเฉพาะลักษณะนั้น ถ้ากล่าวถึงลักษณะก็เฉพาะลักษณะนั้นปรากฏ ตอนนี้จะรู้ได้ด้วยปัญญาว่า ขณะนั้นยึดถือสภาพธรรมนั้นว่าเป็นเราหรือเปล่า ถ้าเสียง พอได้ยินแล้วก็ได้ดับ ไป ไม่ได้ยึดถืออะไรทั้งสิ้น ก็ต่างกับขณะที่เคยยึดถือ และเข้าใจว่า แข็งตรงนั้นเป็นเรา เพราะฉะนั้น ความจำว่าเป็นเรายังไม่หมดไป แม้เพียงแข็งปรากฏ ขณะนั้นก็เข้าใจยึถือว่าเป็นเรา ชื่อ สักกายทิฏฐิ ที่ได้ยินบ่อยๆ ก็จะปรากฏเมื่อเกิด และขณะนั้นปัญญาเห็นความติดข้อง ยึดถือว่าเป็นเรา แต่ถ้าขณะนั้นไม่ปรากฏ อย่างเสียงหรือกลิ่นปรากฏ ก็เพียงแต่รู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริงเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ความเห็นถูกต้องก็เริ่มชัดเจนขึ้นทีละเล็กทีละน้อยจนกว่าจะละความยึดถือว่าเป็นเรา แล้วสภาพธรรมนั้นก็ปรากฏด้วยดี
เพราะฉะนั้น ขณะนั้นสภาพธรรมก็ปรากฏ แต่ไม่ใช่ด้วยดี เพราะเหตุว่าปรากฏเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดแล้วก็มีความติดข้อง แต่ขณะใดก็ตามที่ปรากฏลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยทั้งสิ้น ขณะนั้นจะปรากฏด้วยดีไหมคะ ไม่มีอะไรมาเจือปน มาเข้าใจว่า เป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่ตัวธรรมแท้ๆ ที่ปรากฏเป็นอย่างนั้น
เพราะฉะนั้น ที่ใช้พยัญชนะว่า สภาพธรรมปรากฏด้วยดี ในกาละนิดหน่อย จริงไหมคะ เพราะเหตุว่าการจะถึงลักษณะของสภาพธรรมไม่นานเลย เพียงชั่วขณะที่เข้าใจขั้นฟัง เข้าใจขึ้นๆ โดยไม่รู้ว่า เมื่อไรสภาพธรรมอย่างนั้นจะปรากฏอย่างนั้นเพียงอย่างเดียวจริงๆ พร้อมกับมีความเห็นที่ถูกต้อง เข้าใจแม้ว่า สิ่งนั้นปรากฏเพียงเล็กน้อย แต่ลักษณะนั้นเป็นสิ่งหนึ่ง ที่จะเป็นสิ่งอื่นไม่ได้เลย สภาพธรรมขณะนั้นปรากฏด้วยดีหรือเปล่า ผู้ฟังเข้าใจเมื่อไร ขณะนั้นก็เป็นความเห็นถูก จะใช้คำว่า สัมมาทิฏฐิ ก็ได้ จากการฟังทีละเล็กทีละน้อย ถ้าเข้าใจว่า ขณะนี้ธรรมปรากฏดีหรือเปล่า ตอบตามความเป็นจริง คือ ปัญญา แต่ถ้ายังไม่รู้ ฟังแล้วก็ยังไม่รู้ ตัดสินใจไม่ได้ น่าจะดี ก็ผิดแล้ว ถ้าขณะนั้นไม่มีการที่สภาพธรรมจะปรากฏลักษณะแท้ๆ ที่เคยเข้าใจว่า ลักษณะนั้นเป็นอย่างหนึ่งอย่างใดมาก่อน เช่น เป็นโต๊ะ เป็นแขน เป็นมือ เป็นอะไรก็ตามแต่ ขณะนั้นไม่มี แต่มีลักษณะนั้นที่ปรากฏความเป็นสิ่งนั้นด้วยดีเพียงเล็กน้อย
เพราะฉะนั้น สภาพธรรมไม่ปรากฏดี เมื่อมีความติดข้อง พอความติดข้องเข้าไปติดข้องแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่า ขณะนั้นเป็นอะไรตามความเป็นจริงทีละอย่าง แล้วสภาพธรรมจะปรากฏดีโดยส่วนเดียว คือ ไม่เปลี่ยนเลย เมื่อเป็นการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เมื่อปัญญาเกิดขึ้นตามลำดับ ถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่มีขณะที่จะไม่ปรากฏด้วยดี หรือไม่ปรากฏดี เพราะเหตุว่าพระอรหันต์ไม่ว่าจะเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่มีกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น
นี่ก็เป็นความต่างของการฟังเข้าใจ อบรมเจริญปัญญาความรู้ถูกต้องจนกระทั่งสามารถดับกิเลสจริงๆ ตามลำดับขั้นจนถึงความเป็นพระอรหันต์ เห็นแล้วสภาพธรรมก็ปรากฏเป็นธรรมดี แต่ว่าถ้าศึกษาละเอียดต่อไป ไม่ใช่พร้อมกับปัญญาเสมอไป
นี่ก็เป็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งที่จะต้องเข้าใจความต่างว่า การฟังทำให้เห็นถูกในสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าสามารถรู้เฉพาะลักษณะหนึ่งที่ปรากฏ