ชีวิตรูป - ชีวิตนาม
ผู้ฟัง ผมฟังแล้วยังสับสนอยู่ อยากจะให้วิเคราะห์ศัพท์ ชีวิตคืออะไร ให้มันง่ายๆ แล้วก็สั้นๆ อะไรอย่างนั้น ขออาจารย์ช่วยตอบด้วย
ท่านอาจารย์ ก่อนอื่น ถ้าว่าง่ายคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ พิจารณา ตาม ต้องเป็นความที่ถูกต้องที่สุด เพราะว่าจากการตรัสรู้ ไม่ว่าใครจะอธิบายชีวิตในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือเคมี สสาร อะไรก็แล้วแต่ นั่นก็เป็นเรื่องของผู้ที่ยังไม่ได้ตรัสรู้จริงๆ
เพราะฉะนั้น ถ้าพูดถึงชีวิต มี ๒ อย่าง ชีวิตรูปกับชีวิตนาม ซึ่งได้ยินอย่างนี้ เราต้องเข้าใจ คำว่า “นามธรรมกับรูปธรรม” ก่อนว่า ๒ อย่างมีจริงๆ แต่เป็นสภาพที่มีลักษณะต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเด็ดขาด รูปเป็นสิ่งที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย นี่เป็นคำจำกัดความ ไม่ว่าเราจะมองเห็นหรือมองไม่เห็นก็ตามแต่ อย่างเสียงปรากฏทางหู เสียงไม่ใช่นามธรรม เสียงไม่ใช่สภาพรู้ เสียงมีลักษณะที่สามารถกระทบกับโสตปสาท แล้วก็สภาพรู้คือได้ยินเสียงสามารถที่จะรู้ว่าเสียงนั้นมีลักษณะอย่างไร นั่นคือนามธรรม
เพราะฉะนั้น ในขณะนี้มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม นามธรรมเป็นสภาพรู้ ซึ่งไม่มีรูปร่างใดๆ เลยทั้งสิ้น ไม่มีรูปสักรูปเดียว ไม่ว่าจะรูปละเอียด หรือรูปหยาบ หรือรูปอะไรก็ตามแต่ จะเป็นนามธรรมไม่ได้ จะรวมอยู่ในนามธรรมไม่ได้ นามธรรมไม่ใช่รูปธรรม แต่เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเกิดขึ้นก็สามารถที่จะรู้สิ่งที่กำลังปรากฏให้รู้ เช่น ทางตาในขณะนี้ ถ้ามีคนตาย ไม่เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเลย แม้ว่าเขาจะเพิ่งตาย มองดูก็ยังไม่เน่าเปื่อย ก็มีลูกตา แต่ว่าไม่สามารถจะเห็นได้
เพราะฉะนั้น ลักษณะของการเห็น คือรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นอย่างนี้ทางตา ลักษณะนั้นคือนามธรรม ซึ่งมี ๒ อย่าง จิต กับ เจตสิก แล้วชีวิตนาม ก็คือ เจตสิก ซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ รักษาจิตให้ดำรงคงสภาพที่เกิดขึ้นทำกิจการงาน หน้าที่แล้วก็ดับ นั่นคือชีวิตนาม ซึ่งเราก็พอจะรู้ได้ว่า ที่เราใช้คำว่า ชีวิตๆ เราใช้กับสิ่งซึ่งมีความรู้สึก สามารถที่จะคิดนึกได้ แต่เพราะผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่สามารถที่จะแสดงโดยชัดเจนว่า เป็นนามธรรมประเภทไหน เป็นนามธรรมคือจิตซึ่งเป็นสภาพที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้อารมณ์ หรือว่าเป็นเจตสิกซึ่งเป็นสภาพนามธรรมอีกชนิดหนึ่งซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะ
ในทางพระพุทธศาสนาที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ จะมีจิตเกิดขึ้นโดยไม่มีเจตสิกเกิดไม่ได้เลย แล้วเจตสิกหนึ่งซึ่งต้องเกิดกับจิตทุกขณะก็คือ ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นสภาพธรรมที่รักษาสภาพธรรมที่เกิดร่วมกันไม่ให้ดับ ยังคงดำรงอยู่ชั่วขณะที่ตั้งอยู่ นั่นคือชีวิตนาม
สำหรับชีวิตรูป ก็คือรูปซึ่งเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน รูปอื่นซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรม จะไม่มีชีวิตรูป เช่น ต้นไม้ใบหญ้า เรามองเห็นว่าเจริญเติบโตจากเม็ดมาเป็นกิ่งเป็นก้านพวกนั้นโดยอุตุ คือความเย็น ความร้อนที่สม่ำเสมอ เพราะว่าแม้บางแห่งจะไม่ใช้ดินเลย ต้นไม้ก็เกิดได้ เพียงแต่ความเย็น ความร้อนที่เป็นอุณหภูมิที่พอเหมาะพอดี
เพราะฉะนั้น สำหรับรูปต้นไม้ใบหญ้าไม่ได้เกิดจากกรรม ไม่มีชีวิตรูปรวมอยู่ใน กลาป คือ ในกลุ่มของรูปอย่างละเอียดที่เล็กที่สุดซึ่งแยกออกจากกันอีกไม่ได้ ในทางพระพุทธศาสนาไม่ได้ใช้คำว่า เซลล์ เหมือนอย่างกับวิทยาศาสตร์ หรือทางโลก แต่ว่าจะพูดให้เข้าใจได้ว่า รูปที่เราเห็น ไม่ว่าจะใหญ่โตมโหฬาร เช่นภูเขา หรือแผ่นดินก็ตามแต่ แท้ที่จริงมีอากาศธาตุแทรกคั่นอย่างละเอียดยิบ พร้อมที่จะแตกสลายเป็นอณูเล็กๆ เท่าไรก็ได้
เพราะฉะนั้น การที่เราเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งดูเหมือนว่าใหญ่ แข็งแรง มั่นคง เป็นเหล็กเป็นอะไรก็แล้วแต่ แท้ที่จริงแล้วจะมีอากาศธาตุแทรกคั่นอยู่อย่างละเอียด จนถึงรูปที่แยกจากกันอีกไม่ได้ เรียกว่า กลาป หรือกลาปะหนึ่ง ถ้ากลาปะนั้นเกิดจาก อุตุ เช่นต้นไม่ใบหญ้า หรือว่าโต๊ะ เก้าอี้ พวกนี้ จะไม่มีชีวิตรูป ถ้าเกิดจากจิต ก็ไม่มีชีวิตรูป ต้องเกิดจากกรรมเท่านั้น
เพราะฉะนั้น ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิดขึ้น ขณะแรกมีปฏิสนธิจิตกับเจตสิก ซึ่งมีชีวิตนาม คือ ชีวิตินทรียเจตสิกเกิดกับจิต นั่นเป็นชีวิตนาม ทำให้นามนั้นเป็นสิ่งที่มีชีวิต อย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่แล้ว นามธรรม และทำให้รูปซึ่งเกิดเพราะกรรมเป็นสมุฏฐานเกิดพร้อมกัน พร้อมกับชีวิตรูป ชีวิตินทรียรูป หมายความว่ารูปนั้นเป็นรูปที่มีชีวิต ต่างกับรูปอื่นซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรม
เพราะฉะนั้น เวลาที่เราเห็นคนเป็นกับคนตาย คนตายไม่มีชีวิตรูปเลย แม้แต่จิตเจตสิกก็ไม่มี ไม่มีชีวิตเลย เพราะฉะนั้นใช้คำว่า ไม่มีชีวิต เพราะจิต เจตสิก ก็ไม่มี และรูปนั้นก็ไม่มีชีวิตรูปด้วย จริงๆ แล้วคนตายเหมือนกับท่อนไม้ ไม่ต่างกันเลย ถ้ายกหรือจับก็จะรู้สึกว่าแข็ง แต่ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาจะไม่แข็งเท่านั้น เพราะเหตุว่ามีรูปอื่นๆ ซึ่งเป็นรูปที่เบา รูปที่อ่อน รูปที่ควรแก่การงาน สามารถที่จะเคลื่อนไหว เดินเหินได้ พูดได้ ยิ้มได้ พวกนั้น
เพราะฉะนั้น ก็ต้องเข้าใจว่า ถ้าพูดถึงชีวิต หมายความถึงชีวิตนามกับชีวิตรูป ถ้าชีวิตนามก็คือเจตสิกซึ่งอุปถัมภ์รักษาให้สภาพที่เกิดร่วมกันดำรงอยู่ชั่วขณะ ส่วนชีวิตรูปก็ต้องเป็นชีวิตที่เกิดจากกรรมเท่านั้น ทำให้รูปนั้นต่างจากรูปซึ่งไม่ได้เกิดจากกรรม เราเห็นตุ๊กตา เราก็บอกได้ นี่หญิง นี่ตุ๊กตาทหาร นี่สุนัข นี่แมว จากความทรงจำ แต่ไม่มีชีวิตรูปเลย แต่คนหรือสัตว์ซึ่งเกิดจากกรรม ไม่ใช่อย่างนั้น รูปนั้นต่างมากเลย ไม่ว่าจะรู้หรือจำอย่างไรก็ตามแต่ หรือจะมองไม่เห็นก็ตาม แต่ว่าลักษณะของรูปนั้นที่ดำรงชีวิตอยู่ เป็นรูปที่ดำรงชีวิต ยังไม่ใช่ซากศพ ก็เพราะเหตุว่ามีชีวิตรูปเกิด