ไม่รู้ว่าไม่รู้อะไร


    ผู้ฟัง ผมอยากจะเรียนถามอาจารย์ว่า ปริยัติ ปฏิบัติ ผมยังไม่ได้ข้อที่ชัดเจน ว่ามันเกี่ยวข้องกับบัญญัติ และปรมัตถธรรมอย่างไร ผมจึงจะปฏิบัติตัวได้ถูก โดยสภาวธรรมของปรมัตถ์ และบัญญัติ ผมแยกไม่ค่อยออก

    ท่านอาจารย์ ก่อนอื่นตั้งต้นใหม่ๆ เลย ตั้งแต่ต้นเลย ทุกคนก็ต้องยอมรับว่า ก่อนที่จะได้มีการฟังพระธรรม เราก็ศึกษาวิชาต่างๆ เยอะแยะ ตั้งแต่เด็กทุกคนก็มีความรู้ตามรูปแบบของแต่ละคน ว่าจะสนใจศึกษาวิชาการใด แต่ถ้ายังไม่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนา เรามีอวิชชาแน่นอน ที่ว่าเรามีอวิชชา คำใดคำหนึ่งที่เราได้ยินได้ฟัง ขอให้เราเข้าใจความหมาย อย่าเพิ่งสรุปหรือว่าอย่าเพิ่งคิดว่าเราเข้าใจแล้ว แต่ทุกคำควรจะเข้าใจจริงๆ อะ แปลว่าไม่ วิชชา แปลว่า รู้ เพราะฉะนั้น อวิชชา แปลว่าไม่รู้ เราไม่รู้ แม้แต่ว่าเราไม่รู้อะไร เราก็ได้ยินแต่ชื่อ เราก็ยอมรับง่ายๆ ว่าเราไม่รู้ แต่ถ้าถามลึกลงไปว่า เราไม่รู้อะไร ตอบได้ไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่รู้ปรมัตถธรรม ไม่รู้สภาวธรรม

    ท่านอาจารย์ คือเรายังไม่ได้เรียนคำ ๒ คำนี้ เราเพิ่งมาถึงคำว่า อวิชชา แปลว่าไม่รู้ แล้วเราก็ไม่สามารถจะรู้ว่า เราไม่รู้อะไร ถ้าเราไม่ได้ศึกษา เราคิดว่าเรารู้แล้ว แต่ความจริงพอเราศึกษาแล้ว หรือว่าเข้าใจ เริ่มรู้ว่า อวิชชาคืออะไร เราถึงจะรู้จริงๆ ว่า เราไม่รู้เลย แล้วก็ไม่รู้อย่างมากๆ ด้วย ถ้าถามต่อไปโดยการที่ศึกษาบ้างแล้ว ไม่รู้อะไร ไม่รู้สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ เพราะว่าเมื่อเราเกิดมา ต้องมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏให้เรารู้ทางตา เห็น ทางหูได้ยิน ทางจมูกได้กลิ่น ทางลิ้นลิ้มรส ทางกายถูกต้องกระทบสัมผัส ทางใจ คิดนึก เราเห็นมานานเท่าไรตั้งแต่เกิด ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส คิดนึกนี่มากมายมหาศาล ถ้าบอกว่าไม่รู้อะไร ชีวิตของเราก็คือแต่ละ ๑ ขณะซึ่งเกิดมา ขณะที่เห็นเป็นของจริง เป็นชีวิตที่คิดว่าเป็นเราเห็น เราไม่รู้ความจริงว่าที่ว่าเป็นเห็น หรือว่าเป็นเราเห็น ความจริงแล้วเป็นอะไร

    เพราะฉะนั้น ทุกคนตั้งแต่เกิดจนตาย จะไม่พ้นจากเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่คิดนึก สัมผัส แล้วจากโลกนี้ไป ด้วยการไม่รู้ความจริงของชีวิตธรรมดา ตั้งแต่เกิดจนตาย

    เพราะฉะนั้น ความไม่รู้ก็คือไม่รู้ความจริงของสภาพที่มีจริงๆ ของสิ่งที่มีจริงๆ เรายังไม่ต้องใช้คำบาลีอะไรเลยก็ได้ เพราะว่าเราเริ่มต้นจากคำว่า ความไม่รู้ ซึ่งก็ไม่ใช่คำที่ยาก แต่ว่าความไม่รู้จะมากมายมหาศาลสักแค่ไหน ต่อให้เราไปเรียนวิชาอื่น จบมหาวิทยาลัย ชาติโน้น ชาตินี้ ชาติหน้า แต่ถ้ายังไม่รู้ความจริง ๑ ขณะที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังได้กลิ่น ที่กำลังลิ้มรส ที่กำลังกระทบสิ่งที่อ่อนแข็ง เย็นร้อน ตึงไหว ที่คิดนึกเป็นประจำ หมายความว่าเรามีความไม่รู้ มากไหมคะ ตั้งแต่เกิดจนตาย แล้วก็ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว แล้วยังจะต่อไปอีก เพราะฉะนั้นมหาศาลจริงๆ เราเริ่มรู้ว่า เราไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น เราจึงต้องศึกษาพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ และทรงแสดง ซึ่งขอให้ทุกคนเริ่มคิดพิจารณาคำว่า ”อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า” ยิ่งใหญ่สักแค่ไหน ไม่มีใครมีชื่อนี้เลย เพราะว่าเป็นชื่อของพระคุณนาม เดิมไม่ได้ชื่อพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อประสูติก็ชื่อว่า เจ้าชายสิทธัตถะ เท่านั้น เพราะอะไร ทำไมไม่เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนประสูติ เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงของธรรม ของชีวิต ของทุกขณะจิต แต่ว่าเมื่อตรัสรู้แล้วด้วยพระองค์เอง ใครก็จะเปลี่ยนพระองค์ให้กลับไปเป็นชื่ออื่นไม่ได้เลยทั้งสิ้น นอกจากชื่อเดียวคือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง จากการอบรมพระบารมี ถ้าเราจะไม่กล่าวถึงตอนที่ตั้งความปรารถนาตอนต้นๆ ก็ ๔ อสงไขยแสนกัป นานแค่ไหน แล้วเราล่ะคะ จะรู้ธรรมเร็วๆ ได้ไหม ไม่ได้แน่นอน นอกจากเราคิดว่าจะมีหนทางที่จะทำให้รู้ได้ แต่พระพุทธศาสนาต่างกับศาสนาอื่น เพราะเหตุว่าศาสนาอื่นๆ ไม่ได้สอนให้เรารู้จักสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ รับรองได้ ไม่มีเลย นักปราชญ์ บัณฑิต มหาบัณฑิต นักปรัชญา นักจิตวิทยาอะไรก็ไม่สามารถที่จะสอนให้รู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ตามความเป็นจริงได้ เพราะไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเป็นคนธรรมดาฟังพระธรรมแล้วก็เริ่มเข้าใจขึ้น จากการฟังแล้วก็เข้าใจขึ้น ค่อยๆ เห็นพระปัญญาคุณเพิ่มขึ้น แต่ว่าถ้าไม่ฟังเลย แม้ว่าเราจะกราบไหว้ มีผู้ที่บอกว่าให้ไหว้พระสวดมนต์ก่อนนอน หรือเมื่อไรก็ตาม เราก็ยังไม่รู้จักพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่ศึกษา

    เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นเราก็จะต้องทราบว่า ธรรมที่จะได้ยินได้ฟัง ก็เป็นธรรมจากพระโอษฐ์ จากการตรัสรู้ จากการทรงแสดง ด้วยพระปัญญาที่ถึงระดับขั้นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ต้องเป็นสิ่งที่ง่ายหรือยาก ยาก เพราะเหตุว่าตอนที่เพิ่งตรัสรู้ไม่น้อมพระทัยที่จะทรงแสดง แสดงให้เห็นว่าสภาพธรรมที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ยากสักแค่ไหน ทั้งๆ ที่ดูธรรมดาเหลือเกิน เห็นธรรมดาๆ ได้ยินธรรมดา ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึกธรรมดา แต่ยากสักแค่ไหนที่จะรู้ว่า ต้องอาศัยการบำเพ็ญพระบารมี ๔ อสงไขยแสนกัป ที่จะตรัสรู้ความจริงของสภาพธรรม

    เพราะฉะนั้น ทุกคนก็เป็นผู้ที่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้กระทำบุญมาแล้วในอดีต ไม่มีทางที่จะได้ยินพระธรรมที่ทรงแสดง เพราะว่าทุกคนที่มีโสตปสาท คือ มีหู ได้ยินเสียงอะไรก็ได้ แต่เสียงนั้นไม่ได้ทำให้เกิดความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

    เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีบุญเก่าที่ได้กระทำแล้ว ไม่มีโอกาสได้ฟังประการหนึ่ง หรือว่าถึงมีโอกาสได้ฟังก็ไม่สนใจ เพราะว่าไม่ได้สะสมมาที่จะเห็นประโยชน์หรือคุณค่า แต่ว่าผู้ที่มีความสนใจ ทุกคนให้ทราบว่า ได้เคยมีศรัทธา มีความสนใจ มีการเห็นประโยชน์ในอดีต ถึงได้ไม่ไปเที่ยว ไม่ไปอ่านหนังสือ ไม่ไปดูโทรทัศน์ ไม่ไปคุยกับเพื่อน แต่ก็ยังมีโอกาสหรือมีเวลาที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม

    เพราะฉะนั้น ก็เป็นโอกาสดีสำหรับชาตินี้ ซึ่งมีโอกาสได้ฟังช้ำอีก แล้วมีโอกาสที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น จนกว่าจะถึงกาลหรือเวลาที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ โดยไม่ใช่เพียงฟังเฉยๆ เพราะว่าการฟังเป็นการฟังเรื่องราวของธรรม ขณะนี้มีเห็นที่เราพูดถึงเมื่อกี้นี้ แล้วก็มีได้ยิน แต่ยังไม่ประจักษ์ลักษณะของสภาพเห็น หรือสภาพได้ยิน โดยความเป็นอนัตตา เพราะว่าเพิ่งจะเริ่มฟังให้เข้าใจก่อน ซึ่งถ้าไม่มีการฟัง แน่นอนที่สุดแล้ว คิดเอง คิดไม่ออก มีใครจะคิดออกไหมคะว่า ธรรมคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังปรากฏ เป็นสิ่งที่ปัญญาสามารถที่จะอบรมเจริญรู้แจ้งความจริงได้

    อันนี้เราก็ยังไม่ถึงขั้นปริยัติกับปฏิบัติ เพียงแต่ว่า ให้เราเข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่เราได้ฟัง เพราะว่าการฟังพระธรรม บางคนก็บอกว่ายาก ตอนนี้วันนี้ยังไม่เข้าใจ เอาไว้กลับไปบ้านจะไปอ่าน หรือว่าอาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่งก็ฟังไปอีก จะเข้าใจอีก แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น ขณะใดที่ฟัง ขอให้ทุกคนพิจารณา และเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่าไปคิดว่าแล้วต่อไปจะไปอ่านหรือจะไปทำอะไรก็ตามที่จะให้เข้าใจ แต่ถ้าขณะนี้ที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วเมื่อไร ฟังอีกจะเข้าใจได้ไหม ในเมื่อขณะนี้ไม่เข้าใจ แต่ถ้าขณะนี้เข้าใจ ขณะต่อไป คราวต่อไปฟังแล้วก็เข้าใจอีกได้


    หมายเลข 9909
    18 ส.ค. 2567