จุดประสงค์ที่แท้จริงของการฟัง
ธรรมเป็นเรื่องละเอียด แล้วก็การศึกษา อย่าใจร้อน แล้วก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่า การฟัง ฟังเพื่ออะไร เพราะว่าส่วนใหญ่จะมีการศึกษาธรรมหลายรูปแบบ บางรูปแบบจะเน้นไปที่ความจำ บางรูปแบบโดยเฉพาะการศึกษาพระอภิธรรม ก็จะเน้นไปในเรื่องจำนวน แต่ถึงแม้ว่าเราจะจำได้ จำจำนวนได้ แล้วก็จำชื่อได้ แต่ว่าไม่เข้าใจสภาพธรรมที่เรากล่าวถึง หรือที่เราพูด ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย
เพราะฉะนั้น จุดประสงค์จริงๆ ขอให้คิดถึงในครั้งอดีตที่ท่านพระสารีบุตรฟังธรรมท่านพระอัสสชิ แล้วสามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ท่านมีความเข้าใจธรรม จริงๆ ไม่เป็นที่สงสัยเลย ทำไมจะรู้ไม่ได้ ในเมื่อสภาพธรรมกำลังปรากฏ เหมือนเดี๋ยวนี้ ถ้านึกถึงพระวิหารเชตุวันที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงพระธรรม มีสาวกกำลังฟัง ท่านก็เห็น ท่านก็ได้ยิน ท่านก็คิดนึก เหมือนเดี๋ยวนี้ คือเห็น เห็นไม่เปลี่ยนสภาพเลย กี่ล้านปี เห็นก็มีหน้าที่อย่างเดียวคือเห็น เป็นสภาพหรือธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัยทำกิจอย่างเดียวคือเห็นเท่านั้น ทำอย่างอื่นไม่ได้
เพราะฉะนั้น ถ้าใครสะสมปัญญาจากการฟังเข้าใจตัวสภาพธรรม โดยนัยหลากหลายที่จะเห็นว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตน แม้ขณะนี้เองที่ได้ฟัง ก็สามารถที่จะละการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา ขึ้นอยู่กับว่า ปัญญาสะสมมามากน้อยเท่าไร ปัญญาระดับขั้นเพียงฟังไม่สามารถที่จะละกิเลสได้เลย ฟังไปเถอะคะ ฟังไปเท่าไร เห็นไปก็เป็นเราเห็นตลอด ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฟังธรรม ตลอดหมด ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ไม่ว่าจะฟังความละเอียดซึ่งเป็นพระอภิธรรม เป็นปรมัตถธรรม ซึ่งยุคนี้สมัยนี้ ก็เริ่มต้นด้วยการศึกษาพระอภิธัมมัตถสังคหะ ซึ่งแยกเป็น ๙ ปริเฉท แต่ต้องรู้จุดประสงค์ว่าฟังเพื่ออะไร มิฉะนั้นเราจะไม่ได้ประโยชน์เลย ต้องให้ทราบว่าไม่ใช่ฟังเพื่อจำจำนวน หรือว่าจำชื่อ แต่ฟังเพื่อให้รู้ว่าทั้งหมดที่ฟัง ก็เพื่อเข้าใจสภาพที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏในขณะนี้
นี่คือประโยชน์ของการศึกษาว่า ฟังเพื่อให้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีในขณะนี้ เพราะฉะนั้น เราจะไม่ไปสนใจ ยุ่ง ปวดหัว กับเรื่องจำนวน เพราะอะไร ตายแล้วก็ลืม มีใครบ้างคะที่ยังจะจำต่อไป อย่างท่านพระสารีบุตรเวลาที่ท่านกำลังรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่มีจำนวนเข้ามาเกี่ยวข้องเลยว่า จิตนี้เกิดขึ้น มีเจตสิกประกอบเท่าไร แต่ว่าสามารถที่จะละการยึดถือสภาพที่กำลังเห็นในขณะนี้โดยการประจักษ์แจ้ง แม้ในคำแรกที่เราได้ยินคือ นามธรรมกับรูปธรรม ขณะที่เห็นเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ส่วนธรรมอื่นที่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมด้วย แต่รู้อะไรไม่ได้ เป็นรูปธรรม แค่ ๒ คำนี้ มีตลอด กี่ภพกี่ชาติที่เกิด โลกไหนก็ตาม จะขาดนามธรรมรูปธรรมไม่ได้ เว้นภูมิพิเศษ ๒ ภูมิ คือ อรูปพรหมภูมิ ซึ่งมีทั้งหมดด้วยกัน ๔ ภูมิ กับอสัญญสัตตาภูมิ ซึ่งสำหรับอรูปภูมิ ก็บอกแล้วว่าไม่มีรูป ๔ ภูมิ แล้วก็อสัญญสัตตาภูมิ ก็ไม่มีนามธรรมเลย แต่นอกจากนั้นแล้ว บนสวรรค์ ก็มีนามธรรม มีรูปธรรม ใน รูปพรหมภูมิก็มีนามธรรมกับรูปธรรม
เพราะฉะนั้น ไม่ได้ขาดนามธรรมกับรูปธรรมเลย พร้อมที่จะให้เข้าใจลักษณะ แต่ว่าถึงแม้ว่าจะฟังเข้าใจ ปัญญาไม่พอที่จะละการยึดถือว่าไม่ใช่ตัวตน
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นระดับของปัญญาว่า จะต้องเจริญขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรม แล้วยังต้องถึงปัญญาที่ถึงระดับที่เริ่มที่จะละความติดข้องในนามธรรมในรูปธรรมด้วย
เพราะฉะนั้น ก็ต้องทราบจริงๆ ว่า ทุกคนอย่าเพิ่งใจร้อน ขอให้ตั้งต้นใหม่จริงๆ โดยอะไรคะ เข้าใจทุกคำที่ได้ยินให้ถูกต้อง อย่าข้ามไป ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ กายานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา อะไรก็ตามทั้งหมด มาทีหลัง ถ้าเราสามารถที่จะเข้าใจลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ก็ต้องมีจุดที่เริ่มต้น
เพราะฉะนั้น เราก็ยังไม่ต้องไปถึงเรื่องการไปประพฤติปฏิบัติที่ไหนเลย ถ้าเรายังไม่เข้าใจธรรม อนัตตา หรือว่านามธรรมกับรูปธรรม